คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5253/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมและจำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คือได้ร่วมกับโจทก์นำเงินไปเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารให้โจทก์ 7 ล้านบาท โดยตกลงกันว่า เมื่อโจทก์ประสงค์จะถอนเงินดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ จำเลยจะต้องร่วมลงลายมือชื่อถอนเงินนั้น เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้มีข้อความที่แสดงว่าคู่กรณีตกลงให้จำเลยควบคุมการใช้เงินของโจทก์ ดังนี้ จำเลยจะไม่ยอมลงลายมือชื่อถอนเงินโดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งจุดประสงค์ในการใช้เงินให้จำเลยทราบตามเจตนารมณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่ และกรณีนี้จำเลยจะต้องชำระหนี้ด้วยการร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์ถอนเงินจากธนาคาร อันเป็นการทำนิติกรรมอย่างหนึ่งศาลจึงมีอำนาจสั่งบังคับว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ ไม่เป็นการสั่งนอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความหรือเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษาตามยอม.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ยอมชำระเงินให้โจทก์ ๑๔ล้านบาทภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๑ โดยจะชำระเป็นแคชเชียร์เช็ค๗ ล้านบาท ส่วนอีก ๗ ล้านบาทโจทก์และจำเลยที่ ๒ จะนำไปฝากประจำไว้กับธนาคารภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๑ โดยโจทก์และจำเลยที่ ๒จะลงชื่อร่วมกันเป็นผู้ฝาก และการถอนต้องลงลายมือชื่อโจทก์และจำเลยที่ ๒ ร่วมกัน ทั้งนี้โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลยทั้งสองอีก กับโจทก์จะถอนคำร้องทุกข์ที่แจ้งความดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองที่กองปราบภายใน ๗ วัน ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอม และออกคำบังคับตามยอมเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๑
ครั้นวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๑ โจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ประสงค์จะใช้เงินใบบัญชีเงินฝากที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ร่วมกันฝากตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมลงลายมือชื่อถอนเงินร่วมกับโจทก์ขอให้เรียกจำเลยที่ ๒ มาลงชื่อในใบเบิกเงินให้แก่โจทก์หากจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมลงลายมือชื่อในใบเบิกเงินให้ถือเอาคำสั่งศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นสอบคู่ความแล้วมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ ร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์ถอนเงินจากธนาคารชำระหนี้ให้โจทก์ภายใน ๔๐ วัน หากจำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำสั่งของศาลชั้นต้นแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า การที่จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมร่วมลงลายมือชื่อถอนเงินจำนวน ๗ ล้านบาทจากธนาคารให้โจทก์ เนื่องจากโจทก์มิได้แจ้งจุดประสงค์ในการใช้เงินให้จำเลยที่ ๒ ทราบตามเจตนารมณ์ของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ เข้ามาควบคุมการใช้เงินของโจทก์นั้น หามีเหตุผลสนับสนุนไม่ เพราะเงินจำนวน ๗ ล้านบาทที่นำไปฝากไว้กับธนาคารนั้นเป็นเงินส่วนที่จำเลยที่ ๒ จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งมีข้อตกลงว่าในการถอนเงินโจทก์และจำเลยที่ ๒ จะต้องลงลายมือชื่อร่วมกัน เมื่อโจทก์แสดงความประสงค์จะถอนเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ จำเลยที่ ๒ ก็ต้องร่วมลงลายมือชื่อถอนเงินนั้นด้วยเพื่อให้โจทก์ได้รับเงินนั้นตามสิทธิของโจทก์ นอกจากนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวก็หามีข้อความใดที่แสดงว่า คู่กรณีมีเจตนาตกลงกันให้จำเลยที่ ๒ เข้ามาควบคุมการใช้เงินของโจทก์ไม่ ส่วนข้อที่จำเลยที่ ๒ กล่าวอ้างถึงการที่โจทก์และจำเลยที่ ๒ ได้มีการปฏิบัติที่ผิดแผกไปจากข้อความที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความบ้าง เช่น ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุให้ร่วมกันเปิดบัญชีเงินฝากประจำเป็นจำนวน ๗ ล้านบาทให้โจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ แต่ในทางปฏิบัติได้ตกลงกันเปิดเป็นบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ให้แก่โจทก์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาคลองตันแทน อันแสดงว่าได้มีการตกลงกันใหม่นอกเหนือจากข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่สัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้ร่วมกันเปิดบัญชีเงินฝากให้แก่โจทก์เป็นบัญชีประเภทประจำที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ นั้น เป็นแต่รายละเอียดของสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งคู่กรณีย่อมตกลงกันปฏิบัติให้ผิดแผกไปจากที่กำหนดไว้เดิมได้ในเมื่อข้อตกลงนั้นมิได้กระทบกระเทือนถึงจำนวนเงินอันเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่แม้คู่กรณีจะได้ตกลงกันปฏิบัติให้ผิดแผกไปจากที่กำหนดไว้เดิมดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็ไม่ปรากฏว่าคู่กรณีมีความประสงค์ให้โจทก์ต้องแจ้งจุดประสงค์ในการใช้เงินให้จำเลยที่ ๒ ทราบ เพื่อให้จำเลยที่ ๒ เข้ามาควบคุมการใช้เงินของโจทก์แต่ประการใด ฉะนั้น จำเลยที่ ๒ จะปฏิเสธไม่ยอมร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์ ในการถอนเงินจากธนาคาร โดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งจุดประสงค์ในการใช้เงินให้จำเลยที่ ๒ ทราบหาได้ไม่คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ในเมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์เพื่อถอนเงินจากธนาคารชำระให้โจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจบังคับให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามยอมและโดยที่จำเลยที่ ๒ จะต้องชำระหนี้ด้วยการร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์ถอนเงินจากธนาคาร อันเป็นการกระทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งบังคับว่าหากจำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามนั้นให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๒ ได้ เป็นการสั่งตามสมควรแก่รูปเรื่อง เพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอม มิใช่เป็นการสั่งนอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษาตามยอมดังที่จำเลยที่ ๑, ที่ ๒ กล่าวอ้าง
พิพากษายืน.

Share