คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5252/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายไปถามหาจำเลยกับบุตรและมารดาจำเลย บุตรจำเลยวิ่งหนีส่วนมารดาจำเลยแจ้งว่าจำเลยไม่อยู่บ้าน ผู้ตายเดินไปห่างบ้านจำเลยประมาณ 2 วา แล้วยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อระบายอารมณ์ การที่จำเลยยิงผู้ตาย ขณะที่จำเลยแอบอยู่ในครัวโดยที่ไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้ก่อภัยอันใดขึ้นที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีและพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร และโดยจำเลยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและมิใช่กรณีมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ แล้วจำเลยฆ่านายทองก้อน นิยมผู้ตาย โดยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงถูกผู้ตายบริเวณใต้ราวนมซ้ายขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพว่ามีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามฟ้องส่วนฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้น จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 371 สำหรับฐานพาอาวุธปืนเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี6 เดือน จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือนริบของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 15 ปี รวมจำคุก 15 ปี9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายถามบุตรจำเลยทั้งสองถึงจำเลยบุตรจำเลยทั้งสองชวนเด็กหญิงอภัทราภรณ์วิ่งหนีเข้าไปในสวนเมื่อผู้ตายไปถามนางประยูร นางประยูรได้ปฏิเสธว่าจำเลยไม่อยู่บ้าน ผู้ตายก็เดินข้ามคูน้ำซึ่งมีต้นมะพร้าวต้นเดียวทำเป็นสะพานโดยผู้ตายไปยืนอยู่ห่างชายคาบ้านประมาณ 2 วา และยิงปืนขึ้น2 นัด ขณะนั้นจำเลยแอบอยู่ในครัวซึ่งบริเวณที่ผู้ตายยืนอยู่จะมองไม่เห็นจำเลยเพราะมีต้นไม้บัง และผู้ตายเชื่อตามที่นางประยูรบอกว่าจำเลยไม่อยู่ ผู้ตายจึงได้เดินกลับไปยืนอยู่นอกเขตบ้านจำเลย โดยผู้ตายอยู่พ้นต้นมะพร้าวซึ่งทำเป็นสะพานทอดไปสู่บ้านจำเลยและขณะนั้นไม่มีบุคคลใดอยู่ที่บ้านจำเลยแล้ว นอกจากจำเลยคนเดียวเท่านั้น พนักงานสอบสวนซึ่งไปตรวจสถานที่เกิดเหตุและตรวจสภาพบ้านจำเลยแล้วไม่พบร่องรอยกระสุนปืนแต่อย่างใดด้วย แสดงว่าผู้ตายยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการระบายอารมณ์เมื่อไม่พบจำเลยมากกว่าที่จะยิงไปที่บ้านจำเลย เนื่องจากเชื่อว่าไม่มีใครอยู่การที่จำเลยยิงผู้ตาย ขณะที่จำเลยแอบอยู่ในครัวโดยที่ไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้ก่อภัยอันใดขึ้นที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัวการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่อย่างใด จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายตามฟ้องโจทก์แต่จำเลยรับว่ายิงผู้ตายทั้งในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ศาลฎีกาเห็นสมควรลดโทษให้จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 10 ปี รวมเป็นจำคุก 10 ปี 9 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share