คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5252/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์เป็นผู้ลงชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินร่วมกับ ส. ทุกฉบับที่นำไปจำนำแก่ผู้รับจำนำ ทำให้เห็นว่าโจทก์กับ ส. ทำกิจการร่วมกัน และการที่โจทก์เป็นผู้มีชื่อในสารบัญจดทะเบียนของโฉนด ที่ดินที่โจทก์กับพวกซื้อมาจากบริษัท บ. จำกัดร่วมกับ ส. และคนอื่น ๆ รวม 20 คน อันเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ร่วมกับ ส.ซื้อที่ดินดังกล่าวมาแต่ต้น เป็นการแสดงให้เห็นและฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ที่ร่วมซื้อที่ดินที่นำมาแบ่งแยกและปลูกสร้างอาคารขาย กรณีจึงต้องถือ ว่าการดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ดินที่ซื้อมา การ ปลูกสร้างอาคารลง ในที่ดินที่แบ่งแยกเป็นโฉนดแปลงย่อย และการที่ ได้มีการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่แบ่งแยกมา ได้ ดำเนินการโดยการรู้เห็น ของโจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงเป็นผู้ดำเนินการ เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งการดำเนินการ ดังกล่าวเป็นการประกอบการค้า ประเภทการค้า 11 การค้า อสังหาริมทรัพย์ ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าใน ป.รัษฎากร โจทก์จึง มีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลจากรายรับ และภาษีเงินได้จากการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เลขที่ 1057/1/39192ปีภาษี พ.ศ. 2527 และ เลขที่ 1057/1/39193 ปีภาษี พ.ศ. 2528ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2530 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 265 ก/2531/1 และเลขที่ 265 ข/2531/1 ลงวันที่13 กรกฎาคม 2531 เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าตามแบบหนังสือแจ้งภาษีการค้า เลขที่ 1057/3/04789 สำหรับเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมพ.ศ. 2527 และเลขที่ 1057/3/04790 สำหรับเดือนมกราคม-กันยายนพ.ศ. 2528 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2530 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ 266 ก/2531/1 และเลขที่ 266 ข/2531/1ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2531 และให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ เลขที่บร. 0354/2531 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2531 และประกาศยึดทรัพย์สินเลขที่ บร.0355/2531 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2531
จำเลยให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 3 แปลง ที่ดินทั้ง 3 แปลงนี้แบ่งแยกสร้างอาคารขึ้นรวม 27 คูหา ในปี พ.ศ. 2527 มีการขายที่ดินและอาคารไปรวม 15 คูหา และในปีพ.ศ. 2528 ขายไป 12 คูหาโดยหลักฐานที่ปรากฏในการซื้อขายนั้นโจทก์มีชื่อเป็นผู้ขายโจทก์มิได้เสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้สำหรับรายรับและเงินได้ที่ได้จากการขายที่ดินและอาคารทั้ง 27 คูหา เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับรายรับและเงินได้จากการขายที่ดินและอาคารดังกล่าว โดยเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยปรับและเงินเพิ่มในปี พ.ศ. 2527 รวม 2,847,837บาท ในปี พ.ศ. 2528 รวม 2,143,159 บาท เป็นภาษีการค้า เบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาลในปี พ.ศ. 2527 รวม 1,218,640.50 บาทในปี พ.ศ. 2528 รวม 945,343 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้วแต่มีเหตุสมควรลดเบี้ยปรับให้ จึงมีคำวินิจฉัยให้ลดเบี้ยปรับให้โจทก์ร้อยละ 25 ทั้งภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัญหาวินิจฉัยมีว่าการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบหรือไม่…พิเคราะห์แล้ว ข้อที่โจทก์อ้างว่าการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบนั้นก็คือ โจทก์มิได้เป็นผู้ทำการค้าที่ดินและมีรายได้จากการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามที่เจ้าพนักงานตรวจพบ ในข้อนี้โจทก์กล่าวในคำฟ้องและนำสืบว่า นายสมเอก จิตรวานิชกุล นำเอาหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงชื่อให้โดยไม่ได้กรอกข้อความไปดำเนินการต่าง ๆตามที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบโดยที่โจทก์มิได้ดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินแต่ประการใด และไม่ได้รับเงินจากการกระทำดังกล่าวนั้นเลย ได้พิจารณาถึงข้ออ้างดังกล่าวแล้ว โจทก์เองเบิกความว่า โจทก์ทราบว่านายสมเอกได้จัดสรรที่ดินโดยใช้ชื่อว่าศูนย์การค้านิวเชียงกง จึงจองอาคารรวม 4 คูหา โดยทำหนังสือจองอาคารและสัญญาจะซื้อจะขายไว้เช่นเดียวกับที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 9 และ 11 แสดงให้เห็นว่าการจองอาคารในโครงการของนายสมเอกต้องมีหนังสือจองอาคารและเมื่อจองแล้วจะมีการทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน ที่โจทก์อ้างว่าได้จองอาคารและทำสัญญาจะซื้อจะขายกับนายสมเอกนั้น โจทก์มิได้มีหนังสือจองอาคาร…ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ในชั้นต้นนี้จึงเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังได้ทั้งเมื่อพิจารณาตามเอกสารที่โจทก์อ้างมาก็จะเห็นได้ว่าโจทก์ทำกิจการร่วมกับนายสมเอกอันได้แก่เอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 110 และ 111 โจทก์ลงชื่อเป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินร่วมกับนายสมเอกและในบันทึกท้ายสัญญาจำนำเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 181-204 ก็มีข้อความปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินร่วมกับนายสมเอกทุกฉบับที่นำไปจำนำแก่ผู้รับจำนำ การที่โจทก์เป็นผู้ลงชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินตามที่จำนำกันนั้นด้วยตนเอง ทำให้เห็นว่าโจทก์กับนายสมเอกทำกิจการร่วมกันนอกจากนั้นตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 249 ซึ่งเป็นสำเนาโฉนดที่ดินที่โจทก์กับพวกซื้อมาจากบริษัทเวสเทอร์น จำกัด เมื่อวันที่2 พฤศจิกายน 2526 ก็ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้หนึ่งที่มีชื่อในสารบัญจดทะเบียนว่าซื้อที่ดินดังกล่าวมาร่วมกับนายสมเอกและคนอื่น ๆรวม 20 คน อันเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ร่วมกับนายสมเอกซื้อที่ดินดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่ามีการปลอมใบมอบอำนาจจึงไม่อาจรับฟังได้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในเอกสารตามที่กล่าวนั้นเป็นการแสดงให้เห็นและฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ที่ร่วมซื้อที่ดินที่นำมาแบ่งแยกและปลูกสร้างอาคารขายกรณีจึงทำให้เห็นได้ต่อไปว่าการดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ดินที่ซื้อมาก็ดี การปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินที่แบ่งแยกเป็นโฉนดแปลงย่อยก็ดี และการที่ได้มีการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่แบ่งแยกมาก็ดีได้ดำเนินการโดยการรู้เห็นของโจทก์เองในชั้นที่เจ้าพนักงานเรียกโจทก์ไปตรวจสอบไต่สวนโจทก์เองก็มิได้ไปให้ข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานคงมอบอำนาจให้นายนิพนธ์วิสิษฐยุทธศาสตร์ ไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานปรากฏตามใบมอบอำนาจของโจทก์เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 48 ว่านายนิพนธ์รู้เรื่องราวเกี่ยวกับกิจการและเรื่องภาษีอากรของโจทก์เป็นอย่างดี แต่บันทึกคำให้การของนายนิพนธ์ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 47 นายนิพนธ์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการปลอมใบมอบอำนาจของโจทก์แต่ประการใด ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับภาษีที่เจ้าพนักงานเรียกตรวจสอบไต่สวน และถ้ามีการปลอมใบมอบอำนาจของโจทก์ไปกระทำการในกรณีสำคัญและทำให้โจทก์ต้องเสียหายมากมายเช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่โจทก์จะนิ่งเฉยไม่ดำเนินการอย่างใดรวมทั้งการไม่ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อเจ้าพนักงาน ส่วนที่โจทก์ไปแจ้งความดำเนินคดีแก่นายสมเอกนั้น ก็เป็นการดำเนินการหลังจากที่โจทก์สืบพยานโจทก์และมีการสืบพยานจำเลยไปบ้างแล้ว เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์แจ้งความเพื่อนำเอาหลักฐานในการแจ้งความนั้นมาสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ตามที่โจทก์อ้างไว้ในคดีนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะให้รับฟังได้ นอกจากนี้ในชั้นที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินโจทก์อ้างเหตุที่ไม่ต้องรับผิดในเงินภาษีที่เจ้าพนักงานแจ้งประเมินว่าโจทก์ลงชื่อในโฉนดที่ดินที่มีการซื้อขายและขายไปจนมีรายรับและเงินได้แทนบุคคลอื่น มิได้อ้างถึงว่ามีการปลอมใบมอบอำนาจของโจทก์แต่ประการใด ทั้งข้ออ้างในเรื่องการมอบอำนาจตามคำฟ้องกับทางนำสืบของโจทก์ก็ต่างกันคือ ในคำฟ้องโจทก์อ้างว่ามอบอำนาจให้ไปเพื่อขออนุญาตดำเนินการจัดสรรที่ดินแต่ในชั้นนำสืบโจทก์อ้างว่าเป็นการมอบอำนาจเรื่องที่โจทก์จองอาคารของนายสมเอก เมื่อข้ออ้างของโจทก์นอกจากจะไม่มีเหตุผลแล้วยังอ้างเหตุไปคนละอย่างเช่นนี้ จึงไม่อาจฟังตามที่อ้างได้ข้อเท็จจริงเชื่อได้ตามหลักฐานที่เจ้าพนักงานตรวจพบว่าโจทก์เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการประกอบการค้าประเภทการค้า 11.การค้าอสังหาริมทรัพย์ ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในประมวลรัษฎากรโจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลจากรายรับและภาษีเงินได้สำหรับเงินที่ได้จากการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและเมื่อจำนวนเงินภาษีที่เจ้าพนักงานคำนวณสำหรับรายรับและเงินได้ของโจทก์จากกิจการที่เจ้าพนักงานตรวจพบนั้นโจทก์มิได้โต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์…”
พิพากษายืน.

Share