แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุประมาณ7วันโจทก์ร่วมได้ไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้านว่าสามีจำเลยใช้ไม้ปาถูกบ้านของโจทก์ร่วมทำให้จำเลยไม่พอใจเมื่อจำเลยพบโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุแล้วถามโจทก์ร่วมได้รับคำยืนยันว่าไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้านจริงจำเลยโกรธแค้นโจทก์ร่วมและเข้าทำร้ายโจทก์ร่วมทันทีจำเลยจึงเป็นฝ่ายก่อเหตุและเข้าทำร้ายโจทก์ร่วมแต่เพียงฝ่ายเดียวจำเลยจึงอ้างป้องกันมิได้ ตามสภาพบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับนั้นโจทก์ร่วมต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า30วันเมื่อบาดแผลหายแล้วปรากฎรอยแหว่งที่ปีกจมูกด้านซ้ายเป็นแผลเป็นติดตัวถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นางระเบียบ ชัยสมุทร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4)|8) จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุกจำเลย 1 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ทำร้ายโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บตามใบชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.2 และ ป.จ.1 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสและจำเลยกระทำเพื่อป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามสภาพบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับนั้น โจทก์ร่วมต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 30 วัน เมื่อบาดแผลหายแล้วปรากฎรอยแหว่งที่ปีกจมูกด้านซ้ายเป็นแผลเป็นติดตัว ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง สำหรับปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมยืนคร่อมรถจักรยานอยู่จำเลยถามว่าไปแจ้งความผู้ใหญ่บ้านมาหรือ โจทก์ร่วมตอบว่าใช่่่จำเลยก็เข้าดึงผม ตบและข่วนหน้า ผลักโจทก์ร่วมเซไปแล้วกระซากผมจนรถจักรยานล้ม จำเลยก็กระซากผมตีเข่าที่หน้าท้องและกระชากผมโจทก์ร่วมจนหน้าหงาย ใช้ปากกัดที่จมูกของโจทก์ร่วม ซึ่งความดังกล่าวมาโจทก์และโจทก์ร่วมมีนาย สุรพล เต็มภาชนะ เบิกความสนับสนุนว่า ขณะเกิดเหตุพยานขี่รถจักรยานผ่านมาเห็นจำเลยกับโจทก์ร่วมกอดฟัดกันอยู่ โดยจำเลยอยู่ข้างบนใช้เข่ากระแทกโจทก์ร่วมใช้มือกระชากผมแล้วใช้ปากกัดบริเวณใบหน้าของโจทก์รวม ซึ่งระหว่างนั้นไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นอกจากพยานเพียงคนเดียว เห็นว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 7 วัน โจทก์ร่วมได้ไปแจ้งกับนายหนูนาม แพ่เต็มผู้ใหญ่บ้านว่า สามีจำเลยใช้ไม้ปาถูกบ้านของโจทก์ร่วม ย่อมทำให้จำเลยไม่พอใจ การที่จำเลยพบโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุแล้วถามโจทก์ร่วมได้รับคำยืนยันว่าไปแจ้งกับผู้ใหญ่บ้านจริง เช่นนี้ น่าเชื่อว่าจำเลยโกรธแค้นโจทก์ร่วมและเข้าทำร้ายโจทก์ร่วมทันที ที่จำเลยอ้างว่าถูกโจทก์ร่วมด่าและไสรถจักรยานพุ่งเข้าชนแล้วเข้าตบโหนกแก้มของจำเลยก่อนนั้น หากเป็นความจริงจำเลยน่าจะถูกโจทก์ร่วมทำร้ายบาดเจ็บบ้าง หาใช่เพียงแต่เยื่อบุตาข้างซ้ายอักเสบเล็กน้อยเท่านั้นและการที่เยื่อบุตาอักเสบนี้นายแพทย์นิคม วีระนรพานิช พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้ตรวจรักษาก็เบิกความว่าไม่น่าจะเกิดจากการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ดังนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุและเข้าทำร้ายโจทก์ร่วมแต่เพียงฝ่ายเดียวหาได้กระทำไปเพื่อป้องกันตัวแต่อย่างใดไม่ ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษไว้นั้น เห็นว่า จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมเพียงเพราะไม่พอใจที่โจทก์ร่วมไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าสามีจำเลยใช้ไม้ปาบ้านเท่านั้น หาใช่เรื่องรุนแรงถึงขนาดจำเลยต้องทำร้ายโจทก์ร่วม จนกระทั่งโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บสาหัส จมูกฉีกขาดต้องรักษาทำศัลยกรรมตกแต่งเป็นเวลากว่า 30 วัน เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยกลับแจ้งความกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ก่อเหตุทำร้านตนเสียหายอีก ทั้งที่โจทก์ร่วมมิได้กระทำแต่อย่างใด แม้ค่าเสียหายจำเลยก็มิได้เสนอชดใช้ให้แก่โจทก์ร่วม พฤติการณ์เช่นนี้ไม่สมควรที่จะปรานีให้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดโทษและไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นจึงเหมาะสมแก่รูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
พิพากษายืน