คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7362/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่1ติดต่อบอกขายที่ดินแก่โจทก์ร่วม2แปลงและนัดหมายไปดูที่ดินกันจำเลยที่1และที่2พาโจทก์ร่วมและสามีไปดูที่ดินทั้งสองแปลงแต่โจทก์ร่วมไม่ชอบจึงได้เสนอขายที่ดินแปลงพิพาทและจำเลยทั้งสองยังได้ร่วมกันพาโจทก์ร่วมไปดูทั้งยังชี้หลักเขตที่ดินซึ่งเป็นหลักเขตปลอมทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นที่ดินแปลงพิพาทจึงรับซื้อฝากไว้พฤติการณ์ของจำเลยที่1และที่2เป็นการร่วมกันวางแผนโดยแบ่งหน้าที่กันทำจึงเป็นตัวการร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมและร่วมกับจำเลยที่3ฉ้อโกง การที่จำเลยทั้งสองใช้เอกสารราชการปลอมแสดงต่อโจทก์ร่วมจนโจทก์ร่วมหลงเชื่อยอมรับซื้อฝากที่ดินไว้เป็นการกระทำโดยมีเจตนาฉ้อโกงด้วยแต่การกระทำความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมและความผิดฐานฉ้อโกงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งต้องลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ทั้ง สาม ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265, 268, 341, 83, 91 ริบ หลักเขต ที่ดิน ของกลางกับ ให้ จำเลย ทั้ง สาม ร่วมกัน ใช้ เงิน 3,024,000 บาท แก่ ผู้เสียหาย
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ปฎิเสธ
ระหว่าง พิจารณา นาง นันทนา ผู้เสียหาย ยื่น คำร้องขอ เข้าร่วม เป็น โจทก์ ศาลชั้นต้น อนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบ ด้วย มาตรา 265, 83จำคุก คน ละ 3 ปี และ จำเลย ทั้ง สาม มี ความผิด ตาม มาตรา 341, 83 จำคุกคน ละ 1 ปี เรียง กระทง ลงโทษ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวม จำคุก คน ละ 4 ปี ยกฟ้อง โจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2ฐาน ปลอมเอกสาร และ ยกฟ้อง โจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 3 ฐาน ปลอม และ ใช้เอกสารปลอม ริบของกลาง กับ ให้ จำเลย ทั้ง สาม ร่วมกัน คืนเงิน จำนวน3,024,000 บาท แก่ ผู้เสียหาย
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ยก ฟ้องโจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 1ใน ข้อหา ร่วมกัน ใช้ เอกสารปลอม และ ฉ้อโกง เสีย ด้วย นอกจาก ที่ แก้ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
โจทก์ และ โจทก์ร่วม ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า คง มี ปัญหา มา สู่ การ พิจารณา ของ ศาลฎีกาเฉพาะ จำเลย ที่ 1 ตาม ที่ โจทก์ และ โจทก์ร่วม ฎีกา จำเลย ที่ 1 ได้ร่วม กระทำผิด กับ จำเลย ที่ 2 ฐาน ร่วมกัน ใช้ เอกสารราชการ ปลอม และฐาน ร่วม กับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ฉ้อโกง ตาม ที่ ศาลชั้นต้น พิพากษาหรือไม่ โจทก์ร่วม และ นาย วิชัย สามี โจทก์ร่วม เป็น พยาน ฝ่าย โจทก์ เบิกความ ยืนยัน ว่า จำเลย ที่ 1 ซึ่ง รู้ จัก กับ โจทก์ร่วม มา ก่อนเกิดเหตุ ประมาณ 9 ถึง 10 เดือน มี อาชีพ เป็น นายหน้า ขาย ที่ดินเป็น ผู้ติดต่อ บอก ขาย ที่ดิน ที่ ตำบล บางหัวเสือ อำเภอ พระประแดง จังหวัด สมุทรปราการ นัดหมาย ให้ ไป พบ ที่ สำนักงาน ที่ดิน จังหวัดสมุทรปราการ ครั้น ถึง วันนัด พยาน ทั้ง สอง ได้ ไป พบ และ ได้ พบ กับจำเลย ที่ 2 ด้วย จาก นั้น จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 พา โจทก์ร่วม และ สามีไป ดู ที่ดิน 2 แปลง โจทก์ร่วม ไม่พอ ใจ จำเลย ที่ 2 จึง บอก ขายฝาก ที่ดินอีก แปลง หนึ่ง คือ แปลง ที่ เกิด กรณี พิพาท โดย จำเลย ที่ 2 อ้างว่า เป็นที่ดิน อยู่ ใน ทำเล ดี เป็น ที่ดิน ดี มาก เจ้าของ จะขาย ฝาก ใน ราคา5,000,000 บาท โจทก์ร่วม สนใจ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 จึง พา โจทก์ร่วมและ สามี ไป ดู ที่ดิน แปลง หนึ่ง อยู่ ติด ซอย อ่อนนุช 66 ถนนสุขุมวิท อ้างว่า เป็น ที่ดิน มี โฉนด ที่ เจ้าของ ต้องการ ขายฝาก ใน ราคา 5,000,000บาท จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 พา โจทก์ร่วม และ สามี ไป ตรวจสอบ หมายเลขหลักเขต ที่ดิน สามี โจทก์ร่วม จดหมาย เลข หลักเขต ที่ดิน ได้ 3 หลักส่วน อีก หลัก หนึ่ง อยู่ ใน น้ำ ไม่สามารถ ตรวจสอบ ได้ รุ่งขึ้น จำเลย ที่ 2โทร สาร โฉนด ที่ดิน ตาม เอกสาร หมาย จ. 3 มา ถึง สามี โจทก์ร่วม หลังจากนั้น จำเลย ที่ 1 ยัง ได้ ติดต่อ สอบถาม มา ยัง สามี โจทก์ร่วม และ ยืนยันว่า ที่ดิน ตาม โทร สาร เป็น ที่ดิน แปลง ที่ พา ไป ดู หลักเขต ที่ดิน โจทก์ร่วมได้ ต่อรอง ราคา ใน ที่สุด ตกลง รับ ซื้อ ฝาก และ ชำระ ค่าซื้อ ฝาก เป็น เงิน3,024,000 บาท ได้ จดทะเบียน การ ขายฝาก ใน วันที่ 16 กรกฎาคม 2535ที่ สำนักงาน ที่ดิน พระโขนง ตาม ที่ นัดหมาย ใน วัน จดทะเบียน จำเลย ที่ 1ได้ ร่วม ไป ด้วย และ พูด รับรอง ว่า ถ้า เจ้าของ ไม่ ไถ่ จำเลย ที่ 1 จะ เป็นคน นำ ไป ขาย ให้ และ ได้รับ เงิน จาก การ ขายฝาก นี้ เป็น เงิน 40,000 บาทพยาน ทั้ง สอง ของ ฝ่าย โจทก์ เบิกความ สอดคล้อง ต้อง กัน ทั้ง ได้ความตรง ตาม เอกสาร ต่าง ๆ และ ได้ความ ว่า ที่ดิน แปลง ที่ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2ไป ชี้ 2 แปลง คือ แปลง ตำบล หนองเสือ และ แปลง กรณี พิพาท นี้ ไม่ใช่ ที่ดิน ตาม โฉนด ที่ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 บอก ขาย พฤติการณ์ ของ จำเลยที่ 1 ดังกล่าว แสดง ว่า จำเลย ที่ 1 กับพวก ได้ ร่วม วางแผน การณ์โดย แบ่ง หน้าที่ กัน ทำ โดย อาศัย ที่ จำเลย ที่ 1 รู้ จัก กับ โจทก์ร่วม มามา ก่อน จึง มอบหมาย ให้ จำเลย ที่ 1 เป็น ผู้ติดต่อ แกล้ง บอก ขาย ที่ดินตำบล หนองเสือ ซึ่ง เป็น ที่ดิน คน ละ แปลง กับ ที่ดิน ตาม โฉนด เมื่อ โจทก์ร่วม ไม่พอ ใจ ก็ เสนอ ขาย แปลง กรณี พิพาท และ ยัง ได้ ร่วมกัน พาไป ดู และ ชี้ หลักเขต ที่ดิน ซึ่ง เป็น หลักเขต ปลอม ทำให้ โจทก์ร่วมหลงเชื่อ ว่า ที่ดิน ตาม โฉนด เลขที่ 126421 ตำบล ประเวศ (คลองพระเวศฝั่งใต้) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ตาม เอกสาร หมาย จ. 12 เป็น ที่ดิน ซอยอ่อนนุช 66 ที่ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 นำ ชี้ ซึ่ง มี ราคา เพียง 871,500 บาท โจทก์ร่วม รับ ซื้อ ฝาก ไว้ ถึง3,024,000 บาท ทำให้ โจทก์ร่วม ได้รับ ความเสียหาย การกระทำ ของจำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 เป็น การ ร่วมกัน ใช้ เอกสารราชการ ปลอม และร่วม กับ จำเลย ที่ 3 ฉ้อโกง ตาม ที่ ศาลชั้นต้น พิพากษา ฎีกา โจทก์ และโจทก์ร่วม ฟังขึ้น แต่ การ ที่ ศาลชั้นต้น ลงโทษ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2เป็น สอง กรรม นั้น เห็นว่า การกระทำ ความผิด ฐาน ใช้ เอกสารราชการ ปลอมและ ความผิด ฐาน ฉ้อโกง เป็น การกระทำ อันเป็น กรรมเดียว เป็น ความผิดต่อ กฎหมาย หลายบท ซึ่ง ต้อง ลงโทษ บทหนัก ที่สุด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 แม้ คู่ความ จะ มิได้ ฎีกา ขึ้น มา แต่ เป็น ปัญหา ที่ เกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อย ศาลฎีกา ยกขึ้น วินิจฉัย ได้ และ ให้ มีผล ไป ถึงจำเลย ที่ 2 ที่ มิได้ อุทธรณ์ ฎีกา ด้วย ตาม ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 203 ประกอบ ด้วย มาตรา 225
พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบ ด้วย มาตรา 265,341, 83 อันเป็น กรรมเดียว เป็น ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายบท ให้ ลงโทษตาม มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบ ด้วย มาตรา 265 ซึ่ง เป็น บทที่ มีโทษหนัก ที่สุด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก คน ละ 3 ปีนอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์

Share