คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่าจำเลยยอมซื้อที่ดินของโจทก์โดยมีกำหนดระยะเวลาชำระราคาค่าที่ดินแน่นอน การที่โจทก์ได้เงินค่าที่ดินช้ากว่าเวลาที่ตกลงกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงย่อมประสงค์ที่จะได้เงินค่าที่ดินในระยะเวลาที่กำหนดและในการตกลงกันโจทก์จำเลยก็ย่อมคำนึงถึงความประสงค์ดังกล่าวนี้แล้วเมื่อเจตนาของโจทก์จำเลยมีอยู่เช่นนี้ จะถือกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้นั้นว่าไม่เป็นข้อสาระสำคัญย่อมไม่ถูกต้อง จำเลยจะอ้างว่าจำเลยมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินโจทก์ได้ภายในกำหนด 10 ปีนับแต่มีคำพิพากษาตามยอม จึงไม่ชอบด้วยเหตุผลและเจตนาของโจทก์จำเลย
ในสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมซื้อที่ดินส่วนของโจทก์ตามฟ้อง โดยมีกำหนดระยะเวลาชำระราคาค่าที่ดินแน่นอน หากจำเลยผิดนัดโจทก์บังคับคดีได้ทันที เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดมิได้ชำระราคาที่ดินภายในกำหนดเวลา จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้บังคับคดีแก่โจทก์ ให้ขายที่ดินแก่ตนได้ ที่สัญญายอมกำหนดว่า หากจำเลยผิดนัด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้นั้น เป็นสิทธิของโจทก์ฝ่ายเดียวที่จะเลือกในทางร้องขอให้บังคับจำเลยชำระราคาและรับซื้อที่ดินต่อไปอีกก็ได้เท่านั้น

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินเนื้อที่ 8 ไร่1 งาน 50 วา ร่วมกับจำเลย ส่วนของโจทก์ครึ่งหนึ่งในที่ดินดังกล่าวอยู่ทางด้านที่มีสิ่งปลูกสร้าง จำเลยไม่ยอมแบ่งให้ ขอศาลพิพากษาให้จำเลยไปจัดการขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวคนละครึ่ง โดยให้โจทก์ได้รับส่วนที่มีสิ่งปลูกสร้างจำเลยให้การว่า โจทก์มีส่วนในที่ดินครึ่งหนึ่งร่วมกับจำเลยจริง แต่ส่วนของโจทก์มิได้อยู่ตรงเฉพาะที่มีสิ่งปลูกสร้าง สิ่งปลูกสร้างบางส่วนโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของร่วมกัน และเป็นส่วนของผู้อื่นที่เช่าที่ดินปลูกสร้างอยู่ก็มี โจทก์จะเอาด้านที่มีสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวจำเลยไม่ยินยอมจะแบ่งแยกโฉนดให้เช่นนั้นได้ ในที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2512 ว่าจำเลยยอมซื้อที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งหมดตามฟ้องในราคาตารางวาละ 4,100 บาท และยอมชำระให้ล่วงหน้า 10 เปอร์เซ็นต์ของราคาทั้งหมดภายในวันที่ 20 มกราคม 2513 ส่วนที่เหลือจะชำระให้ภายในกำหนด5 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับได้ทันที ฝ่ายโจทก์ยอมให้จำเลยมีสิทธิโอนชื่อให้นายยูซุบ ดำรงผล เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ได้ต่อเมื่อชำระเงินแล้วทั้งหมด ศาลพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2518 จำเลยโดยนายยูซุบ ดำรงผล ผู้รับมอบอำนาจ ได้ยื่นคำร้องว่า จำเลยเคยติดต่อให้โจทก์ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์เพิกเฉยขอให้เรียกโจทก์มาศาลเพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษา และรับการชำระราคาที่ดินจากจำเลยในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดินด้วย

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าจำเลยไม่ได้มอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจท้ายคำร้องข้ออ้างของจำเลยที่ว่าได้ติดต่อให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญายอมไม่เป็นความจริง จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งกำหนดเวลาชำระเงินไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จำเลยพึ่งมาร้องเอาเมื่อล่วงเลยเวลามาถึง 5 ปีราคาที่ดินพิพาทในขณะนี้เปลี่ยนแปลงไปจากราคาที่ได้ตกลงไว้ตามสัญญายอมความ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงตามสัญญายอมเป็นเวลาล่วงเลยมาถึง 6 ปีเศษ เป็นการแสดงโดยปริยายแล้วว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นอันเลิกกัน จำเลยไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้โจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลงแห่งสัญญายอม ขอให้ยกคำร้องของจำเลย

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเชื่อว่าจำเลยได้มอบอำนาจให้นายยูซุบ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอดำเนินคดีในชั้นบังคับคดีแทนจำเลยได้ แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งจำเลยขอให้โจทก์ปฏิบัติตามนั้น เห็นว่า สัญญานั้นหมายความว่าจำเลยมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งหมดในราคาตารางวาละ 4,100 บาทนั้น มีเงื่อนเวลาว่า จำเลยจะต้องนำเงินล่วงหน้าร้อยละ 10 ของราคาที่ดินมาชำระภายในวันที่ 20 มกราคม 2513 ส่วนที่เหลือจำเลยจะต้องนำมาชำระให้แก่โจทก์ให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา 5 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดนั้นสิทธิของจำเลยที่จะซื้อที่ดินของโจทก์จึงหมดไป ที่จำเลยอ้างมาตรา 271 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่า จำเลยขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปีนั้น แต่กรณีนี้เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธิที่จำเลยจะขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้ปฏิบัติตามสัญญานั้นจึงยังไม่เกิดขึ้น และหมดสิทธิไปเมื่อพ้นเงื่อนเวลาแล้ว ให้ยกคำร้องของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันดังกล่าวและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ย่อมเป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องชำระให้แก่กัน หากฝ่ายใดไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งก็มีสิทธิที่จะร้องขอให้บังคับคดีได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 กำหนดเวลาชำระราคาที่ดินตามสัญญายอมมิใช่เงื่อนเวลาสิ้นสุดอันเป็นผลให้นิติกรรมสิ้นผลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 153 วรรคสอง จำเลยจึงมีสิทธิขอบังคับให้โจทก์โอนที่ดินได้ พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีตามคำร้องของจำเลย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้แบ่งแยกที่ดินซึ่งโจทก์และจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันอยู่คนละครึ่ง แต่ไม่อาจตกลงกันได้ เนื่องจากโจทก์จะขอแบ่งครึ่งหนึ่งทางด้านที่มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ ในที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2512 ว่าจำเลยยอมซื้อที่ดินส่วนของโจทก์ตามฟ้องในราคาตารางวาละ 4,100 บาท ยอมชำระราคาล่วงหน้าร้อยละ 10 ของราคาทั้งหมดภายในวันที่ 20 มกราคม 2513ส่วนที่เหลือยอมชำระภายในกำหนด 5 เดือนนับแต่วันทำสัญญายอมความ หากผิดนัดโจทก์บังคับได้ทันที จากผลของสัญญาประนีประนอมนี้ เห็นได้ว่า ที่ดินส่วนของโจทก์ที่จำเลยตกลงจะซื้อมีราคาทั้งสิ้นราว 6,867,500 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องชำระราคาให้แก่โจทก์ร้อยละ 10 ของราคาทั้งหมดในวันที่ 20 มกราคม2513 เป็นเงินราว 686,750 บาท และจะต้องชำระให้อีกราว 6,180,850 บาทภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2513 การที่โจทก์จำเลยตกลงกันเช่นนี้เป็นการแสดงเจตนาตกลงจะซื้อขายที่ดินกันโดยมีกำหนดระยะเวลาชำระราคาค่าที่ดินที่แน่นอนเป็นสาระสำคัญ เพราะราคาที่ดินที่ซื้อขายกันเป็นเงินจำนวนมาก การที่โจทก์ได้เงินค่าที่ดินช้ากว่าเวลาที่ตกลงกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงย่อมประสงค์ที่จะได้เงินค่าที่ดินในระยะเวลาที่กำหนด และในการตกลงกันโจทก์จำเลยก็ย่อมคำนึงถึงความประสงค์ดังกล่าวนี้แล้ว เมื่อเจตนาของโจทก์จำเลยมีอยู่เช่นนี้ จะถือกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้นั้นว่าไม่เป็นข้อสาระสำคัญย่อมไม่ถูกต้อง เหตุนี้ จำเลยจะอ้างว่าจำเลยมีสิทธิจะซื้อที่ดินโจทก์ได้ภายในกำหนด 10 ปีนับแต่มีคำพิพากษาตามยอม จึงไม่ชอบด้วยเหตุผล และเจตนาของโจทก์จำเลยและตามสัญญายอมเองก็มีความหมายชัดเจนว่า การที่จำเลยจะมีสิทธิร้องขอให้บังคับโจทก์ให้ขายที่ดินแก่จำเลยได้นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับการที่จำเลยชำระราคาที่ดินให้แก่โจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับการที่จำเลยต้องชำระราคานั้นภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญายอมด้วย เมื่อจำเลยมิได้ชำระราคาที่ดินภายในกำหนดเวลา จำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ปฏิบัติตามข้อความในสัญญายอม จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้บังคับคดีแก่โจทก์ให้ขายที่ดินแก่ตนได้ ที่สัญญายอมกำหนดว่า หากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้นั้นก็เป็นสิทธิของโจทก์ฝ่ายเดียวที่จะเลือกในทางร้องขอให้บังคับจำเลยชำระราคาและรับซื้อที่ดินต่อไปอีกก็ได้เท่านั้น เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ก่อนได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยจำเลยมิได้ชำระหนี้ จำเลยไม่มีสิทธิที่จะขอบังคับให้โจทก์ขายที่ดินได้

พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย

Share