คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5249/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ ระหว่างจำเลยหลบหนีถูกผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุม จำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้าข้างทางและล้มลงจำเลยลงจากรถจักรยานยนต์แล้วชักอาวุธปืนสั้นเล็งมาทางผู้เสียหายกับพวกเพื่อข่มขู่มิให้ผู้เสียหายกับพวกทำการจับกุมจำเลยจำเลยจึงมีความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีหรือใช้อาวุธปืนขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง,140 วรรคแรก และวรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 , 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 80, 90, 91, 138, 140, 289, 371 ริบของกลาง กับให้นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่310/2534 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง, 140 วรรคแรก, 289(2) ประกอบด้วยมาตรา 80 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 289(2) ประกอบด้วย มาตรา 80 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 52(1) จำคุกตลอดชีวิต คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน ของกลางศาลสั่งริบในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 310/2534 ของศาลนี้แล้วจึงไม่สั่งริบอีก กับให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 310/2534 ของศาลนี้ ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง และ 140 วรรคแรก ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 140 วรรคสาม จำคุก 7 ปี 6 เดือน ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2) ให้ยกเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันเกิดเหตุจำเลยกับพวกได้ร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ ระหว่างจำเลยหลบหนีถูกผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุม ผู้เสียหายกับพวกขับรถยนต์ตามคนร้ายไปประมาณ 2 กิโลเมตร จำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้าข้างทางและล้มลง จำเลยลงจากรถจักรยานยนต์แล้วชักอาวุธปืนสั้นเล็งมาทางผู้เสียหายกับพวก เพื่อข่มขู่มิให้ผู้เสียหายกับพวกทำการจับกุมจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีหรือใช้อาวุธปืนขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายตามฟ้อง แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง และ140 วรรคแรกนั้น ไม่อาจลงโทษผู้กระทำผิดตามมาตรา 140 วรรคสามได้เว้นแต่จะเป็นกรณี ที่กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดการปรับบทลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงไม่ถูกต้อง สมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง และเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยเพียงแต่ชักอาวุธปืนลูกซองสั้นเล็งมาทางผู้เสียหายกับพวกเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดมาถึง 7 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นอัตราโทษชั้นสูงสุดตามกฎหมายนั้นหนักเกินไปเห็นสมควรแก้ไขให้เหมาะสม
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง, 140 วรรคแรก และวรรคสาม ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share