คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2333/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนในที่ดิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นกำหนดให้ผู้ร้องมาทราบคำสั่งในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541 แต่ถึงวันดังกล่าวศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์และให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ จำเลย และเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 15 วัน ดังนี้เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ส่งคำสั่งดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องโดยชอบ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง แม้จะได้ความว่าผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ส่วนจำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 มิได้นำส่ง ก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องอุทธรณ์
ผู้ร้องร้องขอกันส่วนอ้างว่า ส. ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และ อ. ผู้ร้องในฐานะภรรยาจำเลยที่ 2 ขอกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวกึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเห็นได้ว่าคำร้องของผู้ร้องไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 9ถึงที่ 15 ทั้งในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ก็มิได้ส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 แต่อย่างใด จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15จึงไม่ใช่จำเลยอุทธรณ์ กรณีไม่จำต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 9ถึงที่ 15

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 19679 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินดังกล่าวมีชื่อนายสมบูรณ์สุพรรณธะริดา เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 ซึ่งถึงแก่ความตายแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องกึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 4 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่ภรรยาของจำเลยที่ 2ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องอุทธรณ์ และให้จำหน่ายคดีนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีได้ความตามสำนวนว่า จำเลยที่ถูกโจทก์ฟ้องมีทั้งหมด 15 คน ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 19679 ตามคำร้องที่โจทก์นำยึดบังคับคดีมีชื่อนายสมบูรณ์ สุพรรณธะริดา เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนในที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่านายสมบูรณ์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนจำเลยที่ 2 ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยในฐานะที่ผู้ร้องเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องผู้ร้องอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2541 ศาลชั้นต้นกำหนดให้ผู้ร้องมาทราบคำสั่งในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541 ครั้นถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์2541 อันเป็นวันครบกำหนด ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งประการใด ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์จำเลย เจ้าพนักงานบังคับคดีแก้ภายใน 15 วัน ให้ผู้ร้องนำส่งภายใน 7 วัน หากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 24กุมภาพันธ์ 2541 ที่ให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ จำเลยเจ้าพนักงานบังคับคดี นั้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ส่งคำสั่งดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องโดยชอบ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงนับว่าไม่ถูกต้อง แม้จะได้ความว่าผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ส่วนจำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 มิได้นำส่งก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบด้วยมาตรา 246นอกจากนั้นยังปรากฏว่าในชั้นร้องขอกันส่วนของผู้ร้องนี้ ผู้ร้องอ้างว่านายสมบูรณ์ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดเลขที่ 19679 แทนจำเลยที่ 2 ที่ 3และนายอาภรณ์ สุพรรณธะริดา ด้วย ผู้ร้องในฐานะภรรยาจำเลยที่ 2ขอกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวกึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเห็นได้ว่าคำร้องของผู้ร้องไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 9 ถึงที่ 15ทั้งในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นก็มิได้ส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 แต่อย่างใด จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 จึงไม่ใช่จำเลยอุทธรณ์ กรณีไม่จำต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องอุทธรณ์และให้จำหน่ายคดีนั้นจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ประกอบด้วยมาตรา 247

Share