แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยาโดยไม่จดทะเบียนสมรสระหว่างอยู่กินด้วยกันมีทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันหลายรายการต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภรรยากันต่อไป ฟ้องขอแบ่งทรัพย์ครึ่งหนึ่ง จำเลยให้การไว้แล้วว่า โจทก์จำเลยกู้ยืมเงินจากนาง ย.และนางสาวอ. มาเพื่อใช้ปลูกบ้านซึ่งเป็นทรัพย์รายการหนึ่งที่ต้องแบ่ง หากโจทก์ประสงค์จะแบ่งทรัพย์ก็จะต้องนำหนี้รายนี้มาแบ่งรับผิดชอบด้วย คดีจึงมีประเด็นว่า โจทก์จะต้องร่วมแบ่งความรับผิดหนี้กู้ยืมนี้หรือไม่ โดยจำเลยไม่ต้องฟ้องแย้ง หนี้เงินกู้ยืมที่จำเลยให้การว่า โจทก์จะต้องร่วมรับผิดตามสัญญากู้จำเลยผู้เดียวลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ แม้จะฟังว่ามีจริงโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ก็ต้องผูกพันต่อเจ้าหนี้จนกว่าหนี้นั้นจะได้รับชำระเสร็จสิ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 291 และแม้จะแบ่งความรับผิดชอบก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะบังคับชำระหนี้จากโจทก์หรือจำเลยคนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสองคนจนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้นโจทก์และจำเลยยังคงต้องรับผิดตามสัญญากู้ดังกล่าวเป็นส่วนเท่า ๆ กันอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296เมื่อไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าหนี้ตามสัญญากู้เจ้าหนี้ได้เรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ หรือจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวไปแล้วจำเลยจะขอให้โจทก์แบ่งความรับผิดในหนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวในชั้นนี้ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยแต่งงานกันตามประเพณีโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินด้วยกันมีทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกัน6 รายการคือ บ้านเรือนไม้ 2 ชั้น เลขที่ 57/3 ไฟฟ้าและประปาที่ติดตั้งในบ้าน วัว 5 ตัว รถไถนา 1 คัน ข้าวเปลือก 27 กระสอบโอ่งน้ำ 2 ใบ รวมราคาทรัพย์จำนวน 93,600 บาท โจทก์จำเลยไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากันอีกต่อไป ขอให้บังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินตามฟ้องแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าทรัพย์สินตามรายการข้อใดไม่สามารถแบ่งให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยชำระราคาแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งของราคาทรัพย์ตามฟ้องนั้น หรือนำทรัพย์นั้นมาขายทอดตลาด ได้เงินเท่าใดให้โจทก์มีสิทธิได้รับครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีทรัพย์สินตามฟ้องและหนี้สินคือ บ้านเรือนไม้ 2 ชั้นเลขที่ 57/3 ไฟฟ้าและประปาที่ติดตั้งในบ้าน เครื่องรับโทรทัศน์เทปคาสเซ็ท พัดลม เครื่องครัว และเครื่องนอน โอ่งน้ำ 2 ใบที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 1 งานเศษ ตั้งอยู่บ้านกุดชะนวนตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา หนี้เงินกู้ยืมจากนางอยู่และนางสาวอรุณ 150,000 บาท เพื่อนำมาใช้ปลูกบ้านข้างต้นและใช้สอย นอกจากทรัพย์ดังกล่าวแล้ว ทรัพย์อื่นตามฟ้องล้วนเป็นทรัพย์ของผู้อื่น หากโจทก์ประสงค์จะแบ่งทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันก็ต้องนำหนี้เงินกู้ยืมจากนางอยู่และนางสาวอรุณข้างต้นมาแบ่งรับผิดชอบด้วยกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ตามฟ้องให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าทรัพย์สินรายใดไม่สามารถแบ่งให้โจทก์ได้ ให้จำเลยชำระราคาแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งของราคาทรัพย์ตามฟ้อง หรือนำทรัพย์นั้นออกขายทอดตลาดแล้วนำมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า วัว 5 ตัว และรถไถนา 1 คันเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างโจทก์กับจำเลยทำมาหากินร่วมกันด้วยส่วนเครื่องรับโทรทัศน์ เทปคาสเซ็ท พัดลม เครื่องครัว และเครื่องนอนรวมราคา 24,000 บาท ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ต้องนำมาแบ่งด้วยและโจทก์จะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 150,000 บาทด้วยนั้น จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกมาจึงไม่อาจจะบังคับให้โจทก์แบ่งทรัพย์ดังกล่าวและร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้ยืมได้ และที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ยอมยกบ้านตีใช้หนี้นางสาวอรุณแล้วนั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เรื่องหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 150,000 บาทนั้น จำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วว่า โจทก์จำเลยกู้ยืมเงินจากนางอยู่ นางสาวอรุณ มารดาและน้องสาวจำเลยเพื่อมาใช้ปลูกบ้านเลขที่ 57/3 หากโจทก์ประสงค์จะแบ่งทรัพย์ที่หามาได้ร่วมกันก็จะต้องนำหนี้รายนี้มาแบ่งรับผิดชอบด้วยกัน ดังนี้ ตามข้อต่อสู้ของจำเลยจึงทำให้คดีมีประเด็นว่า โจทก์จะต้องร่วมแบ่งความรับผิดหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 150,000 บาท หรือไม่ โดยจำเลยไม่ต้องฟ้องแย้งประเด็นนี้ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัย คดีนี้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง คู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานเกี่ยวกับปัญหานี้ไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเสียก่อน
พิเคราะห์แล้ว หนี้เงินกู้ยืมจำนวน 150,000 บาท ที่จำเลยให้การว่าเป็นหนี้ที่โจทก์ต้องร่วมรับผิดด้วยนั้น เมื่อพิจารณาสำเนาหนังสือสัญญากู้ที่จำเลยอ้างตามเอกสารหมาย ล.1 ก็ปรากฏว่าจำนวนเงินตามสัญญากู้มีเพียง 100,000 บาท และจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้แต่ผู้เดียว ซึ่งโจทก์ก็นำสืบโต้แย้งอยู่ อย่างไรก็ตามแม้จะฟังว่า หนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวจะมีจริงและเป็นหนี้ร่วมซึ่งโจทก์และจำเลยจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ร่วมกันก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 บัญญัติว่า ลูกหนี้ร่วมทุกคนต้องผูกพันต่อเจ้าหนี้จนกว่าหนี้นั้นจะได้รับชำระเสร็จสิ้นเชิงโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมก็ต้องผูกพันต่อเจ้าหนี้ จนกว่าหนี้นั้นจะได้รับชำระเสร็จสิ้นเช่นเดียวกัน แม้โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์หรือแบ่งความรับผิดชอบในหนี้สินต่อกันแล้ว ก็หาได้มีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะบังคับชำระหนี้จากโจทก์หรือจำเลยคนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสองคนจนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้นไม่ โจทก์และจำเลยยังคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวเป็นส่วนเท่า ๆ กันอยู่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 296 เมื่อไม่ปรากฏชัดแจ้งว่า หนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวเจ้าหนี้ได้เรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้หรือจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวไปแล้ว ดังนี้จำเลยจะขอให้โจทก์แบ่งความรับผิดในหนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวในชั้นนี้หาได้ไม่
พิพากษายืน