คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5230/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระค่าติดตามยึดรถพิพาทและค่าซ่อมรถพิพาทโดยมิได้เรียกร้องเอาค่าขาดประโยชน์ในการที่จำเลยครอบครองรถพิพาทอยู่นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดจนถึงวันที่โจทก์ติดตามยึดรถพิพาทคืนมาได้แต่อย่างใดแสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จึงมิได้บรรยายฟ้องขอมาการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าประโยชน์ให้แก่โจทก์เดือนละ50,000บาทเป็นระยะเวลา7เดือนจึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าและนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิกยี่ห้อซูมิโตโม จากโจทก์ในราคา 1,976,250 บาท ตกลงผ่อนชำระเป็น 15 งวด งวดละ 127,500 บาท ต่อเดือน งวดสุดท้ายชำระเป็นเงิน191,250 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 16 ธันวาคม 2533 งวดต่อไปทุกวันที่ 16 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังทำสัญญาจำเลยที่ 1ผิดนัดโดยชำระค่าเช่าซื้องวดแรกให้โจทก์เพียง 107,500 บาทยังขาดอยู่ 20,000 บาท และจากนั้นไม่ชำระให้โจทก์อีก เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองใช้รถของโจทก์ต่อไปอีก จนกระทั่งวันที่ 9 กันยายน 2534 โจทก์ติดตามยึดรถยนต์คืนได้ในสภาพชำรุด เสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 20,000 บาทโจทก์เสียค่าซ่อมแซมเป็นเงิน 587,189 บาท และค่าเช่าซื้อค้างชำระตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 14 วรรคสอง เป็นเงิน 1,040,000 บาทการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,647,189 บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันรถขุดไฮดรอลิกตามฟ้อง แต่เมื่อชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์งวดแรกไป 107,500 บาท แล้วปรากฏว่า รถขุดไฮดรอลิกชำรุดที่กล่องควบคุมคอมพิวเตอร์และที่สายคันเร่งจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อนำรถกลับไปซ่อม โจทก์มารับรถไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2534โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าติดตามรถคืน โจทก์เสียค่าซ่อมกล่องควบคุมคอมพิวเตอร์และสายคันเร่งไม่เกิน 60,000 บาท โจทก์เรียกค่าซ่อมรถ 587,189 บาท ไม่เป็นความจริง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้าง 1,040,000 บาท โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน513,000 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินเพิ่มแก่โจทก์อีก 350,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิกคันพิพาทจากโจทก์ในราคา 1,976,250 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมภายหลังทำสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์งวดแรกเพียง 107,500 บาท และผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ตลอดมา โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยชอบแล้ว และยึดรถพิพาทคืนมาได้ในสภาพชำรุดต้องทำการซ่อมแซม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าขาดประโยชน์ให้โจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์เรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ค่าติดตามยึดรถพิพาทและค่าซ่อมรถพิพาทโดยมิได้เรียกร้องเอาค่าขาดประโยชน์ในการที่จำเลยที่ 1 ครอบครองรถพิพาทอยู่นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดจนถึงวันที่โจทก์ติดตามยึดรถพิพาทคืนมาได้แต่อย่างใด แสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ จึงมิได้บรรยายฟ้องขอมา ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าประโยชน์ให้แก่โจทก์เดือนละ 50,000 บาท เป็นระยะเวลา 7 เดือน นั้น เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าและนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง จึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share