คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2107/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้รับขนส่งข้าวสารจากองค์การคลังสินค้าไปลงเรือที่อ่าวไทยเพราะเรือที่จำเลยที่ 1 ใช้บรรทุกข้าวสารชนกับเรือของจำเลยที่ 2 จนจมลงและข้าวสารเสียหาย โดยโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่องค์การคลังสินค้าผู้เอาประกันภัยแล้ว จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้เพียงว่า เมื่อจำเลยที่ 1 รับจ้างขนส่งข้าวสารก็ได้ว่าจ้างจำเลยร่วมทำการขนส่งช่วง และข้าวสารสูญหายเพราะเรือชนกันเป็นความประมาทของเรือของจำเลยที่ 2 ประเด็นพิพาทจึงมีเพียงว่า เหตุละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1กับจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ดังนั้นแม้จะฟังว่าข้าวสารเสียหายเพราะความประมาทของผู้ควบคุมเรือของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ขนส่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 616 และ 618.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับจ้างขนส่งข้าวสารจากองค์การคลังสินค้า แล้วมอบให้จำเลยร่วมทำการขนส่งช่วง ระหว่างการขนส่งเรือที่จำเลยร่วมใช้ขนส่งข้าวสารเกิดชนกับเรือขุดลอกสันดอนของจำเลยที่ 2 เพราะความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างของจำเลยที่ 2เป็นเหตุให้เรือบรรทุกข้าวสารจมลงได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าข้าวสารให้องค์การคลังสินค้า จึงเข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้รับขนและจำเลยที่ 2 เจ้าของเรือขุดลอกสันดอน ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินและดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่าได้ว่าจ้างจำเลยร่วมให้ทำการขนส่งช่วงเหตุที่เรือชนกันเกิดเพราะความประมาทของเรือของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่าเหตุที่เรือชนกันเป็นเพราะความประมาทของจำเลยร่วมขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตามคำร้องขอของจำเลยที่ 1
จำเลยร่วมให้การว่าลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายประมาททำให้เรือชนกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เหตุเสียหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างของจำเลยร่วม มิได้เกิดจากลูกจ้างของจำเลยที่ 2พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงินกับดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับประกันภัยความเสียหายอันอาจจะเกิดจากการขนส่งข้าวสารชนิดเอวันเลิศจำนวน 5,000 กระสอบขององค์การคลังสินค้าจากโกดังชัยยงค์ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานครไปลงเรือเซี่ยงไฮ้ซึ่งจอดอยู่ที่บริเวณใกล้เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรีตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.2 ข้าวสารดังกล่าวคิดเป็นน้ำหนัก 500 เมตริกตัน ราคา 2,068,000 บาท องค์การคลังสินค้าได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำการขนส่งจำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยร่วมเป็นผู้ขนส่งอีกต่อหนึ่ง จำเลยร่วมได้ว่าจ้างเรือของบริษัทรัตนสุรีย์ จำกัด มาทำการขนข้าวสารดังกล่าว คือ เรือรัตนสุรีย์ 49 และ 33 เรือทั้งสองลำดังกล่าวไม่มีเครื่องยนต์ มีเรือซีแมนเป็นเรือกลไฟลากจูง ออกเดินทางจากโกดังชัยยงค์วันที่19 มกราคม 2526 เวลาประมาณ 22.00 นาฬิกา เมื่อถึงเวลาประมาณ04.00 นาฬิกา ของวันที่ 20 มกราคม 2526 ขณะที่เรือแล่นมาถึงบริเวณโค้งตำบลบางปู อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการเรือรัตนสุรีย์ 49 ได้เกิดชนกับเรือขุดสันดอน 6 ของจำเลยที่ 2ทำให้เรือรัตนสุรีย์ 49 จมลง เป็นเหตุให้ข้าวสารที่บรรทุกเสียหายโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่องค์การคลังสินค้าไปแล้วเป็นจำนวนเงิน 2,068,000 บาท คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าเกี่ยวกับคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในความเสียหายอันเนื่องจากการขนส่งสินค้าข้าวขององค์การคลังสินค้าที่ได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์จากโกดังเก็บไปลงเรือเซี่ยงไฮ้ที่อ่าวไทย โดยโจทก์อ้างว่าได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่องค์การคลังสินค้าผู้เอาประกันภัยแล้วจึงได้รับช่วงสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้เพียงว่า เมื่อจำเลยที่ 1 รับจ้างขนส่งข้าวสารจากองค์การคลังสินค้าแล้วก็ได้ว่าจ้างจำเลยร่วมทำการขนส่งช่วง การที่ข้าวสารดังกล่าวสูญหายเกิดเพราะเรือชนกันโดยเป็นความประมาทของเรือสันดอน 6 ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของแล่นตัดหน้าเรือรัตนสุรีย์ 49 อย่างกระชั้นชิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1จึงมีประเด็นข้อโต้เถียงตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นพิพาทว่าเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 กับจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่โดยไม่มีประเด็นโต้เถียงว่า สินค้าข้าวที่จำเลยที่ 1 รับขนนั้นได้สูญหายไปเนื่องจากเหตุสุดวิสัยอันจำเลยและจำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดหรือไม่ทั้งฎีกาของจำเลยที่ 1 เองที่ปฏิเสธความรับผิดก็อ้างแต่เพียงว่าเหตุที่เรือชนกันเกิดจากลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ควบคุมเรือสันดอน 6ประมาทเลินเล่อขับเรือเลี้ยวกลับแล้วพุ่งเข้าชนกลางลำเรือรัตนสุรีย์49 ซึ่งมีเรือซีแมนลากจูงอยู่ถึงกับจมลง มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยร่วมหรือลูกจ้างของจำเลยร่วมแต่อย่างใด จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิด โดยมิได้ยกเหตุสุดวิสัยขึ้นปฏิเสธความรับผิดแต่อย่างใด ดังนั้นถึงแม้จะฟังว่าข้าวสารดังกล่าวเสียหายเพราะความประมาทของผู้ควบคุมเรือสันดอน 6 จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ขนส่งอยู่นั่นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 616 และ 618…”
พิพากษายืน

Share