คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5228/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จสองครั้งในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2439/2559 ของศาลชั้นต้นคนละวันกัน ครั้งแรกวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 แต่เบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาต่อในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 แม้จำเลยที่ 1 จะเบิกความคนละวันกัน แต่ข้อความที่จำเลยที่ 1 เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน อีกทั้งการเบิกความทั้งสองครั้งมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกัน คือ เพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวต้องได้รับโทษทางอาญาเท่านั้น ดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีนั้น แม้ความผิดทั้งสองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบทต่างกัน แต่การที่จำเลยที่ 1 นำจำเลยที่ 2 เข้าเบิกความเป็นพยานของตนในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่จำเลยที่ 1 เบิกความในครั้งหลังก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงโดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกัน คือ เพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวต้องได้รับโทษทางอาญา การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 177, 180 และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2439/2559 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง และ 180 วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง ฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา จำคุก 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีหมายเลขแดงที่ 2439/2559 ของศาลชั้นต้น ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง และ 180 วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด (ที่ถูก การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี เมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 อีก 10,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี และให้คุมความประพฤติจำเลยที่ 2 ไว้ มีกำหนด 2 ปี ให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน จนกว่าจะครบกำหนดการคุมความประพฤติ และให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่พนักงานคุมประพฤติกำหนดเป็นเวลา 20 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง และ 180 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จสองครั้งในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2439/2559 ของศาลชั้นต้นนั้นเกิดขึ้นคนละวันกัน ซึ่งเจตนาในการเบิกความอันเป็นเท็จครั้งแรกของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 ได้สำเร็จแล้ว ต่อมาในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 จำเลยที่ 1 ได้เบิกความอันเป็นเท็จอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นกรณีเบิกความอันเป็นเท็จขึ้นใหม่ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรม ส่วนความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะได้กระทำในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำคนละอย่างกับการเบิกความอันเป็นเท็จ จึงเป็นความผิดคนละกรรมนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จสองครั้งในคดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 เบิกความครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 แต่เบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาต่อในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 แม้จำเลยที่ 1 จะเบิกความคนละวันกัน แต่ข้อความที่จำเลยที่ 1 เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน อีกทั้งการเบิกความดังกล่าวทั้งสองครั้งมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกันคือเพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวต้องได้รับโทษทางอาญาเท่านั้น ดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีนั้น แม้ความผิดฐานดังกล่าวกับความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบทต่างกัน แต่การที่จำเลยที่ 1 ได้นำจำเลยที่ 2 เข้าเบิกความเป็นพยานของตนในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่จำเลยที่ 1 เบิกความในครั้งหลัง ก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงโดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกันคือเพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวต้องได้รับโทษทางอาญา การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 โดยไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นมารดาของจำเลยที่ 1 และมีอายุมากแล้ว จบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต ประกอบอาชีพเป็นแพทย์และช่วยเหลืองานองค์กรการกุศลทั้งในและต่างประเทศ ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพิ่งกระทำความผิดเป็นครั้งแรก มูลเหตุจูงใจให้กระทำผิดน่าเชื่อว่าต้องการช่วยเหลือบุตรมิให้ต้องได้รับโทษทางอาญาอันเป็นวิสัยของมารดาเห็นควรให้โอกาสจำเลยที่ 2 กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป โดยการรอการลงโทษจำคุกเสียดีกว่าที่จะจำคุกจำเลยที่ 2 เสียทีเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 โดยลงโทษปรับและคุมความประพฤติด้วยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share