แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ออกบัตรให้กรรมกรหยุดงานได้โดยมิได้กล่าวในฟ้องด้วยว่า จำเลยที่ 2 มีอำนาจออกบัตรนั้นด้วย ดังนี้ศาลก็คงลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กับจำเลยที่ 1 ได้
ฟ้องตอนแรกบรรยายว่าจำเลยรับเงินไว้เป็นสินน้ำใจตอนหลังว่าเป็นสินบน ดังนี้ไม่ใช่ฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อได้ความว่า จำเลยมีอำนาจออกบัตรให้กรรมกรหยุดงานเพราะป่วยได้แล้ว แม้ปรากฏว่าจำเลยได้ทำเตรียมบัตรนั้นไว้ก่อนได้รับมอบตัวกรรมกรก็ตาม จำเลยก็ต้องมีความผิดฐานปลอมหนังสือในตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้ง แต่มิได้อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนี้จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ย่อยาว
คดีได้ความว่า จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นปลัดอำเภอประจำตำบลสันป่าตอง นายสมบูรณ์จำเลยที่ 2 เป็นเสมียนมหาดไทยอำเภอสันป่าตองข้าหลวงประจำจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าหน่วยกรรมกรไทยตำบลลำเปิง อำเภอแม่แตง รับมอบคนงานที่ถูกเกณฑ์แก่ทหารญี่ปุ่นเอาไปใช้ทำงาน และให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจอนุญาตให้คนงานทำงานที่ป่วยกลับบ้านก่อนกำหนดได้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำคนที่ถูกเกณฑ์ไปมอบให้จำเลยที่ 1 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานได้บังอาจสมคบกันกระทำผิดกฎหมายโดยสมคบกันเรียกและรับเงินอันเป็นทรัพย์สินที่ไม่ควรได้มาตามกฎหมายไว้เป็นสินน้ำใจของจำเลยจากนายตั๋น กับพวกเพื่อเป็นเครื่องอุปการะที่จำเลยทำคุณให้บุคคลดังกล่าวนั้นเงินที่จำเลยทั้งสองเรียกและรับจากบุคคลเหล่านี้เป็นสินบนเพื่ออาณาประโยชน์ของจำเลยเอง ฯลฯ ขอให้ลงโทษ ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 137, 138, 230 ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 138 และ 230 แต่ให้แก้บทลงโทษส่วนตัวจำเลยที่ 2 เป็นสมรู้การกระทำผิด เพราะได้ความว่าในคราวที่เกิดเรื่องนี้จำเลยที่ 2 ไม่ได้คุมกรรมกรที่ถูกเกณฑ์ไปมอบให้จำเลยที่ 2 เพียงแต่เขียนบัตรป่วยให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อเท่านั้น แต่มีความเห็นของผู้พิพากษานายหนึ่งเห็นควรยกฟ้อง เพราะฟ้องเคลือบคลุม และข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงและบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาเห็นว่า
1. ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์กล่าวเพียงว่าจำเลยที่ 2 รับราชการเป็นเสมียนอำเภอ มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยมีตำแหน่งหน้าที่ออกบัตร จึงไม่มีทางลงโทษจำเลยมีตำแหน่งหน้าที่ออกบัตรจึงไม่มีทางลงโทษจำเลยได้นั้นปรากฎตามฟ้องแล้วว่า จำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเพื่อรับมอบตัวกรรมกรและออกบัตร ฯลฯ ฉะนั้นแม้จะฟังว่า จำเลยมิได้มีตำแหน่งดังจำเลยฎีกา ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยในฐานเป็นผู้สมรู้ได้
2. ข้อที่โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 1 ก. ว่าจำเลยสมคบกันเรียกและรับเงินไว้จากนายตั๋น กับพวกไว้เป็นของน้ำใจส่วนตัวเพื่ออุปการะแก่การที่จำเลยให้คุณแก่บุคคลเหล่านั้น และในตอนท้ายกล่าวว่า เงินที่จำเลยเรียกและรับเป็นสินบนเพื่อจำเลยละเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่นั้น ไม่ทำให้ฟ้องข้อนี้เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่มีข้อความที่จะทำให้ผิดหรือหลงหรือไม่เข้าใจฟ้องนี้หรือทำให้เห็นว่าฟ้องนี้ขัดแย้งกันแต่อย่างใดเลย
3. ข้อที่ว่า จำเลยที่ 1 ได้ออกบัตรให้กรรมการก่อนได้รับอนุญาตมอบตัวกรรมการ จึงถือไม่ได้ว่าบัตรนั้นเป็นหนังสือทางราชการลงโทษจำเลยไม่ได้นั้น ความข้อนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่เขียนบัตรอนุญาต จำเลยที่ 2 เป็นผู้เขียนบัตรแม้บัตรนั้นจะได้ออกก่อนจำเลยที่ 1 ได้รับมอบตัวกรรมการ ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นผิดฐานปลอมจดแจ้งข้อความเท็จในหนังสือตำแหน่งในหน้าที่ไปได้ และการที่ศาลล่างลงโทษจำเลยตามมาตรา 230 ก็ถูกต้องตามฟ้องไม่ผิดจากข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาอย่างใด
คดีปรากฏว่าจำเลยฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้แม้จะมีความเห็นแย้งแต่ไม่มีการอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริง คงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์