แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383วรรคแรกที่บัญญัติว่าเมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้วสิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไปหมายความว่าถ้าผู้ที่จะถูกเรียกให้ใช้เบี้ยปรับยินยอมชำระเบี้ยปรับจำนวนที่เรียกร้องให้แก่ผู้เรียกร้องแล้วย่อมหมดสิทธิที่จะขอลดเบี้ยปรับที่ได้ชำระแล้ว แม้โจทก์จะส่งมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันที่มีช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังไม่ตรงตามที่ระบุไว้ในสัญญาแต่ก็เป็นไปตามประกาศประกวดราคาซื้อวัสดุและประกาศผลการประกวดราคาซื้อพัสดุของจำเลยเมื่อโจทก์ส่งมอบให้จำเลยแล้วจำเลยก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่รับมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง2คันเสียทีเดียวแต่ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพของรถดังกล่าวซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการตรวจรับและสามารถใช้งานได้แต่เนื่องจากนิติกรของจำเลยเห็นว่าไม่อาจแก้ไขสัญญาได้จำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแสดงให้เห็นว่าหากนิติกรของจำเลยเห็นว่าให้มีการแก้ไขสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้จำเลยก็คงแก้ไขสัญญาและยอมรับมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันที่โจทก์ส่งมอบให้แล้วซึ่งโจทก์ก็จะไม่ผิดสัญญาเช่นนี้ต้องถือว่าก่อนที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาจำเลยยังไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันเท่ากับจำเลยยังไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยได้ประกาศเรียกประกวดราคาซื้อรถลากและรถหัวลากรวม 2 คัน ผลการประกวดราคาปรากฎว่าโจทก์ชนะการประกวดราคาโจทก์ได้จัดหาและส่งมอบรถลากและรถหัวลากให้แก่จำเลยตามสัญญาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2533 ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน2533 จำเลยได้มีหนังสือแจ้งมายังโจทก์ว่า จำเลยขอสงวนสิทธิในการเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา เนื่องจากการส่งมอบล่าช้า โจทก์ได้โต้แย้งและขอให้จำเลยลดเบี้ยปรับ โดยขอชำระเบี้ยปรับเพียงร้อยละ 10ของราคาซื้อขาย จำเลยไม่ยินยอมกลับหักเอาเงินเบี้ยปรับเต็มจำนวนออกจากเงินค่ารถทั้ง 2 คัน ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ การกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม เพราะความล่าช้าในการส่งมอบเป็นเพราะความผิดของจำเลยด้วยที่พิจารณาเรื่องล่าช้าเบี้ยปรับสูงเกินไปเมื่อเทียบกับความเสียหาย ดังนั้น จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินเบี้ยปรับในส่วนที่เกินร้อยละ 10 ของราคารถแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินสำหรับรถลากเป็นเงิน1,955,584.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 1,824,378.75 บาท และสำหรับรถหัวลากเป็นเงิน1,878,213.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 1,815,540.50 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์ส่งมอบรถไม่ถูกต้องตามสัญญาจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา การส่งมอบล่าช้าเป็นความผิดของโจทก์และเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทำให้ภารกิจการงานของจำเลยต้องหยุดชะงัก โจทก์ไม่มีสิทธิขอลดเบี้ยปรับและไม่มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,529,269.25บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับให้แก่จำเลยแล้ว สิทธิขอลดเบี้ยปรับของโจทก์จึงหมดสิ้นไปนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรกบัญญัติไว้ว่า ฯลฯ เมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้วสิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไป บทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า ถ้าผู้ที่จะถูกเรียกให้ใช้เบี้ยปรับยินยอมชำระเบี้ยปรับตามจำนวนที่เรียกร้องให้แก่ผู้เรียกร้องแล้ว ย่อมหมดสิทธิที่จะขอลดเบี้ยปรับที่ได้ชำระไปแล้ว แต่กรณีของโจทก์กับจำเลย โจทก์ไม่ได้ยินยอมชำระเบี้ยปรับตามที่จำเลยเรียกร้อง กลับปรากฎว่าเมื่อจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 แจ้งสงวนสิทธิการเรียกค่าปรับไปถึงโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.24 และ จ.25 โจทก์ก็ได้มีหนังสือลงวันที่ 27 ธันวาคม 2533 ขอลดค่าปรับไปถึงจำเลย ตามเอกสารหมายจ.26 และ จ.27 แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้ยินยอมชำระเบี้ยปรับให้แก่จำเลยตามที่จำเลยเรียกร้อง ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยมีสิทธิหักค่าเบี้ยปรับจากเงินที่จำเลยต้องจ่ายค่ารถลากให้แก่โจทก์โดยการหักกลบลบหนี้หรือตามข้อผูกพันที่ระบุไว้ในสัญญาและตามระเบียบของทางราชการนั้น เห็นว่า ถึงแม้จำเลยมีสิทธิที่อาจจะกระทำได้ แต่จะถือว่าโจทก์ยินยอมชำระเบี้ยปรับให้แก่จำเลยตามที่บัญญัติในมาตรา 383 วรรคแรก หาได้ไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ส่งมอบรถลากทั้ง 2 คัน ล่าช้าก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการในงานก่อสร้างทางหลวง และจำนวนเงินเบี้ยปรับเป็นข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญาโดยชัดแจ้งซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้ว จึงต้องถือว่าจำนวนเบี้ยปรับที่จำเลยหักจากค่ารถลากทั้ง 2 คัน ชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น ตามประกาศกรมทางหลวง เรื่อง ประกวดราคาซื้อพัสดุ ที่ ก.32/2531 และที่ ก.55/2531 เอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ตามลำดับ ได้กำหนดระยะห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังไม่ต่ำกว่า 3,800 มิลลิเมตรต่อมาก็มีประกาศกองการพัสดุ กรมทางหลวง เรื่องประกาศผลการประกวดราคาซื้อพัสดุที่ ก.32/2531 และที่ ก.55/2531 ว่าโจทก์เสนอรายละเอียดถูกต้องตามประกาศ ซึ่งจำเลยตกลงรับราคาและรับเป็นคู่สัญญากับโจทก์แล้ว ตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 แสดงให้เห็นว่าจำเลยตกลงรับรถลากและรถหัวลากตามประกาศเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7แต่เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายกันฉบับปรากฎว่า ได้กำหนดระยะห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังของรถลากและรถหัวลากตามประกาศที่ ก.32/2531 เอกสารหมาย จ.6 ว่า ต้องมีระยะห่างประมาณ5,000 มิลลิเมตร และตามประกาศที่ ก.55/2531 เอกสารหมาย จ.7 ว่าต้องมีระยะห่างประมาณ 5,385 มิลลิเมตร ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมายจ.12 และ จ.13 ตามลำดับ ต่อมาเมื่อโจทก์ส่งมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง 2 คันที่มีช่องห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง 4,300 มิลลิเมตรให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2532 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 ตามหนังสือส่งมอบเอกสารหมาย จ.16 และ จ.17 ตามลำดับ คณะกรรมการตรวจรับของจำเลยทำการตรวจรับแล้ว เห็นว่า ยังมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขรวม 8 รายการ ตามหนังสือลงวันที่ 30 มิถุนายน 2532 ที่จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบ เอกสารหมาย จ.18 และ จ.19 ก่อนหน้านั้นโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบถึงข้อที่จำเลยอ้างว่าเป็นข้อบกพร่องซึ่งโจทก์ได้แก้ไขแล้วตามหนังสือลงวันที่ 6 มิถุนายน 2532เอกสารหมาย ล.5 และได้มีหนังสือชี้แจงเฉพาะเรื่องช่วงห่างระหว่างล้อ3 สิงหาคม 2532 เอกสารหมาย จ.20 ต่อมาจำเลยมีหนังสือลงวันที่27 มีนาคม 2533 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าให้ส่งมอบรถลากที่มีช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังตามที่ระบุไว้ในสัญญา ตามเอกสารหมาย จ.21เห็นว่า แม้โจทก์จะส่งมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง 2 คัน ที่มีช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังไม่ตรงตามที่ระบุไว้ในสัญญาแต่ก็เป็นไปตามประกาศประกวดราคาซื้อพัสดุและประกาศผลการประกวดราคาซื้อพัสดุของจำเลย และเมื่อโจทก์ส่งมอบให้จำเลยแล้ว จำเลยก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่รับมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง 2 คันเสียทีเดียว แต่ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพของรถดังกล่าวซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่า ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการตรวจรับและสามารถใช้งานได้ แต่เนื่องจากนิติกรของจำเลยเห็นว่าไม่อาจแก้ไขสัญญาได้ จำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา ตามเอกสารหมาย จ.21ดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นว่าหากนิติกรของจำเลยเห็นว่าให้มีการแก้ไขสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้จำเลยก็คงแก้ไขสัญญาและยอมรับมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง 2 คันที่โจทก์ส่งมอบให้แล้วซึ่งโจทก์ก็จะไม่ผิดสัญญา เช่นนี้ต้องถือว่าก่อนที่จำเลยมีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.21 แจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยยังไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง 2 คัน โดยจำเลยยังไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยเพิ่งถือว่าโจทก์ผิดสัญญาตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือเอกสารหมาย จ.21 คือหลังจากวันที่ 27 มีนาคม 2533 เมื่อคิดถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2533 อันเป็นวันที่โจทก์ส่งมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง 2 คัน ตามสัญญา ให้แก่จำเลยโดยคิดค่าปรับวันละ 4,259.25 บาท และ 4,258.50 บาท ตามลำดับก็จะเป็นเงินจำนวน 804,998.25 บาท และ 804,856.50 บาท ตามลำดับซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยคิดค่าปรับจากโจทก์จำนวน 839,500 บาท และ 839,000 บาท เสียอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน