คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5211/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การที่จำเลยทำการปลูกมะพร้าวในที่พิพาทนับร้อยต้น ย่อมแสดงว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ มีลักษณะเป็นการแย่งการครอบครองแล้ว จำเลยปลูกต้นมะพร้าวในที่พิพาทตั้งแต่ก่อนกลางปี พ.ศ. 2525โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2526 จึงเกิน 1 ปีนับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง
แม้ฟังว่าพนักงานโจทก์เคยไปที่พิพาทพบน้องสาวจำเลย น้องสาวจำเลยไม่ยอมบอกว่ากระต๊อบที่จำเลยปลูกในที่พิพาทเป็นของใครและไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนปลูกมะพร้าว น้องสาวจำเลยยังบอกด้วยว่าตนมาอาศัยเลี้ยงหอย เท่านั้น การกระทำของน้องสาวย่อมมิใช่การกระทำของจำเลย จะถือว่าจำเลยไม่กล้าเปิดเผยเจตนาแย่งการครอบครองและยอมรับอำนาจในการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ย่อมมิได้ ทั้งการแย่งการครอบครองนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่มีการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ จะเป็นไปโดยเปิดเผยหรือไม่ ย่อมมิใช่ข้อสำคัญ
จำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์หรือน้องสาวของจำเลยมาก่อน จำเลยจึงไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ ทั้งในการแย่งการครอบครอง ไม่จำเป็นที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องทราบว่าตนเองถูกแย่งการครอบครอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เนื้อที่ ๑๓ ไร่ ๓ งาน ๗๐ ตารางวา และที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญเนื้อที่ ๑๖ ไร่เศษ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ จำเลยขออาศัยที่ดินบางส่วนเนื้อที่เล็กน้อยเพาะเลี้ยงหอย ต่อมาต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๖จำเลยปลูกมะพร้าว ๑๐๐ ต้น ในที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ไม่ยินยอมปลายเดือนมิถุนายน ๒๕๒๖ โจทก์ถอนต้อนมะพร้าวทั้งหมดจำเลยไปแจ้งความและอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลย โจทก์ให้จำเลยออกไปจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ขอให้แสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินเนื้อที่๑๖ ไร่ ให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า จำเลยรับยกให้ที่ดินพิพาทจากผู้มีชื่อตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จำเลยเข้าครอบครองปลูกบ้านอยู่อาศัยปลูกพืชและทำการประมงในที่ดินดังกล่าวด้วยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาโจทก์ไม่ได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองในหนึ่งปี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยพร้อมด้วยบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การที่จำเลยทำการปลูกมะพร้าวในที่พิพาทนับร้อยต้น ย่อมแสดงว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเจ้าของเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ มีลักษณะเป็นการแย่งการครอบครองแล้วและฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยปลูกต้นมะพร้าวในที่พิพาทตั้งแต่ก่อนกลางปี พ.ศ. ๒๕๒๕ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๖ จึงเกิน ๑ ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๕ พนักงานโจทก์ไปที่พิพาทพบนางสาวทุเรียน น้องสาวจำเลย น้องสาวจำเลยไม่ยอมบอกว่ากระต๊อบที่จำเลยปลูกในที่พิพาทเป็นของใคร และไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนปลูกมะพร้าว น้องสาวจำเลยยังบอกด้วยว่าตนมาอาศัยเลี้ยงหอยเท่านั้น แสดงว่าจำเลยและน้องสาวจำเลยไม่กล้าเปิดเผยเจตนาในการแย่งการครอบครองที่พิพาท ทั้งยังยอมรับอำนาจในการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ นั้น แม้ฟังว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้นการกระทำของน้องสาวจำเลยย่อมมิใช่การกระทำของจำเลย จะถือว่าจำเลยไม่กล้าเปิดเผยเจตนาแย่งการครอบครองและยอมรับอำนาจในการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ด้วยย่อมมิได้ อย่างไรก็ตาม การแย่งการครอบครองนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่มีการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ จะเป็นไปโดยเปิดเผยหรือไม่ ย่อมมิใช่ข้อสำคัญ และที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่เคยแสดงออกต่อโจทก์ให้ทราบว่าจำเลยต้องการแย่งการครอบครองโจทก์ไม่เคยทราบว่าจำเลยแย่งการครอบครอง ถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองแล้วไม่ได้นั้น ในข้อนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าไม่ปรากฏว่าจำเลยครอบครอบที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิโจทก์หรือน้องสาวจำเลยเองมาก่อน จำเลยจึงไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ ทั้งในการแย่งการครอบครอง ไม่จำเป็นที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องทราบว่าตนเองถูกแย่งการครอบครองไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ในประเด็นข้ออื่น
พิพากษายืน.

Share