แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กู้เงินกันเกินกว่า 50 บาท ผู้กู้พิมพ์ลายมือนิ้วมือลงในหนังสือสัญญากู้ ต่อหน้าผู้ให้กู้และคนอีก 2 คน แต่คนหนึ่งลงชื่อโดยบันทึกว่า เป็นพยาน อีกคนหนึ่งบันทึกว่า เป็นผู้เขียน ดังนี้ เมื่อคนทั้ง 2 เป็นผู้รู้เห็นในการกู้เงินและการพิพม์ลายนิ้วมือลงในสัญญากู้เงินกันจริงก็ถือว่า คนทั้งสองเป็นพยานได้ทั้งสองคน จึงทำให้สัญญากู้ที่กล่าวสมบูรณ์ ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้./
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยแล้วแต่จำเลยไม่คืนสัญญากู้ให้ กับไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำนาของโจทก์ ที่ประกัน
เงินกู้รายนี้ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยปลดหนึ้ให้โจทก์และคืนสัญญากู้ให้โจทก์ และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องที่นารายนี้
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ยังมิได้ชำระเงินกู้ จึงฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินกู้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เชื่อตามคำพยานจำเลย แต่สัญญากู้หมายเลข ๕ มีพยานรับรองไม่ครบ ๒ คน จึงจะฟ้องบังคับ คดีไม่ได้ พิพากษาให้โจทก์ชำระเงินให้จำเลย ๖,๙๕๐ บาทและดอกเบี้ย ส่วนฟ้องของโจทก์ให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญากู้หมายเลข ๕ ใช้ได้ พิพากษาแก้ให้โจทก์ชำระเงินแก่นายทองคำจำเลย ๔๗๗๒ บาท ให้นาย พุฒจำเลยอีก ๕๐๐๐ บาท ฯลฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารหมายเลข ๕ โจทก์ได้พิมพ์ลายนิ้วมือลงในหนังสือสัญญาฉะบับนี้ต่อหน้าจำเลยและนายหนู นายรอด แต่นายหนูลงชื่อโดยบอกว่าเป็นพยาน ส่วนนายรอดลงว่าเป็นผู้เขียน นายหนู นายรอดได้อยู่รู้เห็นตลอดเวลา ทำสัญญากู้ฉะบับนี้ นายหนูนายรอดจึงเป็นพยาน เพราะเป็นผู้เห็น โจทก์จะเอาแง่ว่านายรอดลงชื่อในฐานะเป็นผู้เขียน จะถือว่าเป็นพยานไม่ได้ ซึ่งหามีบทกฎหมายบัญญัติให้ต้องถือเช่นนั้นไม่
ฯลฯ ฯลฯ
จึงพิพากษยืน.