คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีได้ลงชื่อให้ความยินยอมไว้ในสัญญาซึ่งภรรยาเป็นผู้กู้นั้น เป็นหลักฐานพอให้ถือได้ว่า เป็นหนี้ร่วมตามความใน ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1482(4) ซึ่งบัญญัติว่า “หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน” เพราะการที่สามีหรือภริยากระทำเช่นนี้ ก็เช่นเดียวกับการรับรองหรือให้สัตยาบันตามความหมายของกฎหมายมาตรานี้แล้ว และในกรณีเช่นนี้ถ้าเจ้าหนี้ฟ้องขอให้ล้มละลายแล้ว ทั้งสามีและภรรยาอาจถูกศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ทั้ง 2 คน

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาจำเลยทั้ง ๒ เป็นบุคคลล้มละลายกล่าวว่า จำเลยทั้ง ๒ เป็นภริยาสามีกันจำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินโจทก์ไป ๒๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ได้ลงชื่อให้ความยินยอมในสัญญากู้ จำเลยผิดนัด โจทก์ได้ทวงถามจำเลยก็เพิกเฉยเสีย จึงถือว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
จำเลยที่ ๒ ตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยล้มละลายไม่ได้ เพราะการลงชื่อให้ความยินยอมผูกพันเฉพาะทรัพย์สิน ไม่ผูกพันถึงตัวบุคคล
ศาลแพ่งพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๑ เด็ดขาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นแต่ให้ความยินยอมในการกู้ จึงไม่เป็นหนี้ร่วมที่จะให้จำเลยที่ ๒ ต้องล้มละลายไปด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๒ ผู้เป็นสามีจำเลยที่ ๑ ได้ลงชื่อให้ความยินยอมไว้ในสัญญาซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้เช่นนี้ เป็นหลักฐานพอให้ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมตามความใน ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๔๘๒(๔) ซึ่งบัญญัติว่า “หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน” เพราะการที่สามีภริยากระทำเช่นนี้ ก็เช่นเดียวกับการรับรองหรือให้สัตยาบันตามความหมายแห่งกฎหมายมาตรานี้
จึงพิพากษาแก้ ให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ ๒ ด้วยค่าธรรมเนียมค่าทนายให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คิดให้ตาม+

Share