คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2489

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าทั้ง 3 ฉะบับควบคุมการเช่าเคหะเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นใหญ่ หากเช่าเพื่อประกอบธุระกิจการค้าหรืออุตสาหะกรรมเป็นใหญ่และใช้เป็นที่อยู่ด้วยเป็นส่วนอุปกรณ์แล้ว ไม่อยู่ในความควบคุม
การที่จะรู้ว่าการเช่ารายใดอยู่ในความควบคุมหรือไม่ ต้องพิเคราะห์วัตถุที่ประสงค์ของการเช่าเป็นราย ๆ ไป
การขนของเข้าไปไว้ใต้ถุนทรัพย์ที่เช่าและเข้าไปนอนเฝ้าภายหลังที่สัญญาเช่าสิ้นอายุ และบอกเลิกสัญญาเช่าแล้วนั้น เป็นการใช้สิทธิ์โดยสุจริตไม่มีผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยให้นายธนิตผู้แทนสหกรณ์เช่าบ้านของจำเลยในเขตต์เทศบาล ค่าเช่าเดือนละ ๔๐ บาท โดยมีข้อสัญญาว่า “สำหรับใช้เป้นที่ทำการสหกรณืและที่พักสหกรณ์” ก่อนสิ้นสัญญาเช่า ๒ เดือนจำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า ฝ่ายนายธนิตไม่ยอม หลังจากครบสัญญา ๕ วัน จำเลยขนเครื่องเรือนเข้าไปไว้ในใต้ถุนที่ทำการสหกรณ์และที่ระเบียงเรือนหลังเล็ก เวลากลางคืนจำเลยก็ขึ้นไปนอนที่ระเบียงเรือนหลังเล็กอยู่เรื่อย ๆ มาราว ๘ วัน จำเลยจึงขนของออกไปหมด โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตาม ม.๓๒๙,๓๓๐ และตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ๒๔๘๖ ม.๕,๙,๑๔
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่า พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าทั้ง ๓ ฉะบับประสงค์ควบคุมการเช่าเคหะเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย หาใช่ควบคุมการเช่าเคหะเพื่อการค้าไม่กล่าวคือถ้าการเช่ามีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยเป็นประธาน และประกอบธุระกิจการค้าหรืออุตสาหะกรรมเป็นส่วนอุปกรณ์แล้วอยู่ในความควบคุม ถ้ามีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุระกิจการค้าหรืออุตสาหะกรรมเป็นประธานและใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยเป็นอุปกรณ์ไม่อยู่ในความควบคุม แม้จะมีบทบัญญัติในมาตรา ๑๓ ซึ่งอาจจะเห็นไปได้ว่า พ.ร.บ.มีความประสงค์ควบคุมการเช่าอย่างอื่นด้วยก็ไม่ลบล้างบทในมาตรา ๑๓ ซึ่งอาจจะเห็นไปได้ว่า พ.ร.บ.มีความประสงค์ควบคุมการเช่าอย่างอื่นด้วยก็ไม่ลบล่างบทวิเคราะห์ศัพท์ใน ม.๕ เพราะ ม.๕ แสดงถึงความมุ่งหมายของพ.ร.บ.อันเป็นใหญ่เป็นประธานการที่จะรู้ว่าการเช่ารายใดตกอยู่ในภายใต้ พ.ร.บ.หรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงวัตถุประสงค์ของการเช่าเป็นราย ๆ ไป
การเช่ารายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุระกิจ การให้เป็นที่พักพนักงานสหกรณ์เป็นเพียงส่วนอุปกรณ์
เมื่อการเช่าไม่อยู่ในความควบคุม จำเลยก็เลิกสัญญาได้ และการที่จำเลยขอเข้าครอบครองดังได้ทำไปนั้นเป็นการใช้สิทธิ์โดยสุจริต มิได้บังอาจ จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share