แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คชก.จังหวัดเป็นองค์กรฝ่ายปกครองซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา7และมีอำนาจหน้าที่ต่างๆตามที่กำหนดไว้ในมาตรา8และมาตรา57ซึ่งบัญญัติให้คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดจะต้องฟ้องเพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดเพราะตราบใดที่คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดยังไม่ถูกเพิกถอนต้องถือว่าคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดยังมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายและหากไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวภายในกำหนดเวลาคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา57วรรคสองประกอบด้วยมาตรา56วรรคสองการฟ้องขอให้เพิกถอนมติของคชก.จังหวัดจึงต้องฟ้องผู้ออกมติก็คือคชก.จังหวัดนั้นเองทั้งนี้เพื่อให้คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของผู้ฟ้องขอให้เพิกถอนมตินอกจากนี้ตามมาตรา58วรรคสองกำหนดให้คชก.จังหวัดมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้บังคับตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของคชก.จังหวัดได้ดังนั้นคชก.จังหวัดจึงเป็นองค์กรฝ่ายปกครองที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินคดีในศาลจึงอยู่ในฐานะที่ถูกฟ้องได้เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีจึงยังคงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายโจทก์จึงฟ้องเฉพาะจำเลยที่2ให้ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์อันแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 13797 ตำบลบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีเนื้อที่ 40 ไร่ให้แก่โจทก์และรับเงินจำนวน 200,000 บาท จากโจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน โดยให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์เพื่อดำเนินการด้วย หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมส่งมอบก็ให้โจทก์มีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินใหม่หรือใบแทนเพื่อใช้ในการโอนกรรมสิทธิ์ต่อไป จำเลยทั้งสองให้การและขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 13797 ตำบลบางตาเถรอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 40 ไร่ แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินตอบแทนจำนวน 800,000 บาท หากจำเลยที่ 2ไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน กับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์เพื่อดำเนินการจดทะเบียนโอนต่อไป ส่วนคำขอที่ให้โจทก์มีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินฉบับใหม่ หรือขอออกใบแทนในกรณีที่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินการในชั้นบังคับคดีต่อไป ให้ยกคำขอส่วนนี้และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัด หรือ คชก.จังหวัดไม่มีกฎหมายบัญญัติว่ามีสภาพเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ซึ่งจะอยู่ในฐานะที่ถูกฟ้องได้การที่ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเป็นการขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดสุพรรณบุรี จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คชก.จังหวัดเป็นองค์กรฝ่ายปกครองซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 7และมีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 8 และมาตรา 57บัญญัติว่า “คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย” ซึ่งหมายความว่าคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดจะต้องฟ้องเพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัด เพราะตราบใดคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดยังไม่ถูกเพิกถอนต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดยังมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายและหากไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดภายในกำหนดเวลาคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา 57 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 56 วรรคสอง การฟ้องขอให้เพิกถอนมติของคชก.จังหวัดจึงต้องฟ้องผู้ออกมติก็คือ คชก.จังหวัดนั้นเอง เพื่อให้คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของผู้ฟ้องขอให้เพิกถอนมติ นอกจากนี้มาตรา58 วรรคสองกำหนดให้ คชก.จังหวัดมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้บังคับตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของ คชก.จังหวัดได้ ดังนั้นคชก.จังหวัดจึงเป็นองค์กรฝ่ายปกครองที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินคดีในศาลได้ คชก.จังหวัดสุพรรณบุรีจึงอยู่ในฐานะที่ถูกฟ้องได้เมื่อโจทก์ไม่ฟ้อง คชก.จังหวัดสุพรรณบุรีเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดสุพรรณบุรีคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีจึงยังคงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ให้ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์อันแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดสุพรรณบุรีไม่ได้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น” พิพากษายืน