คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5191/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทรัพย์ พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างจำเลยทั้งสอง เป็นทรัพย์ที่โจทก์และจำเลยที่ 1ได้มาในระหว่างสมรส ควรเป็นสินสมรสตามกฎหมาย และพฤติการณ์ที่โจทก์แสดงออกยืนยันว่าบ้านนั้นเป็นของจำเลยที่ 1เพียงคนเดียว โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยและยอมให้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว แม้กระทั่งนามสกุลของจำเลยที่ 1 ที่ระบุในเอกสารก็ให้ใช้นามสกุลเดิมของจำเลยที่ 1 ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสที่ยอมให้ทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 ดังนี้ทรัพย์ พิพาทย่อมไม่เป็นสินสมรสอีกต่อไป แม้ตามมาตรา 1469 บัญญัติว่า สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ก็ตาม การที่จำเลยที่ 1กลับจากต่างประเทศแล้วอาศัยอยู่กับโจทก์ได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ โจทก์พูดขอแบ่งบ้านจากจำเลยที่ 1 ทุกวันเพราะไม่ประสงค์อยู่กินกับจำเลยที่ 1 ซึ่งถือได้ว่าโจทก์บอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว ทำให้ทรัพย์พิพาทกลับเป็นสินสมรสดังเดิม แต่การบอกล้างดังกล่าวไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 แม้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายทรัพย์พิพาททั้งหมดแก่จำเลยที่ 2โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ซื้อทรัพย์พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต การที่โจทก์บอกล้างสัญญาที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำกันไว้เกี่ยวกับทรัพย์พิพาทนั้นไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของจำเลยที่ 2 บุคคลภายนอกที่มีต่อทรัพย์ดังกล่าว จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์และจำเลยที่ 1 ร่วมกันซื้อบ้านเลขที่ 1360/10 และ1360/11 รวมสองหลัง พร้อมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2463 และ 2464 อันเป็นที่ตั้งบ้าน โดยระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของในทะเบียนผู้เดียว ต่อมาวันที่ 14 กรกฎาคม2537 จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพร้อมบ้านทั้งสองหลังดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นญาติกันในราคารวม 500,000 บาท โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ และมิได้ชำระราคากัน ขอให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนเพิกถอนสัญญาซื้อดังกล่าว มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้จดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริตและได้รับชำระราคารวม 500,000 บาท แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2463, 2464ระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งได้ทำการจดทะเบียนไปเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม2537 ออกไปจากสารบบที่ดิน หากจำเลยทั้งสองไม่ไปดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2532 ตามหลักฐานทะเบียนสมรสเอกสารหมาย จ.1ระหว่างสมรสขณะจำเลยที่ 1 ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น จำเลยที่ 1ซื้อทรัพย์พิพาทคือบ้านรวม 2 หลัง พร้อมที่ดินซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอขาณุวรลักษณบุรี จังหวัดกำแพงเพชร ในราคาหลังละ 310,000 บาทโดยซื้อเมื่อปี 2533 จำนวน 1 หลัง และปี 2534 จำนวน 1 หลังซึ่งในการนี้โจทก์เป็นผู้ติดต่อเลือกสรรและรับมอบฉันทะจดทะเบียนรับโอนแทนจำเลยที่ 1 ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของในเอกสารสิทธิเพียงผู้เดียวตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เอกสารหมาย จ.3, จ.4 และหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.5, ล.6ในการชำระราคาทรัพย์พิพาทจำเลยที่ 1 เป็นผู้ผ่อนชำระเป็นรายงวดตามสำเนาใบมอบฉันทะถอนเงินเอกสารหมาย ล.7 ถึง ล.9 และ ล.11 ถึงล.12 ต่อมาวันที่ 14 กรกฎาคม 2537 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายทรัพย์พิพาททั้งหมดแก่จำเลยที่ 2 ในราคา 500,000 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 2 แปลง 2 หลัง เอกสารหมาย จ.5 และสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.6 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า มีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ในเบื้องต้นทรัพย์พิพาทเป็นทรัพย์ที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้มาในระหว่างสมรสควรเป็นสินสมรสตามกฎหมาย แต่โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่าก่อนที่จะจดทะเบียนซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีการทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 ซึ่งโจทก์ลงชื่อเป็นพยาน ส่วนจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้ซื้อ จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้โจทก์จัดการจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินตามหนังสือสัญญาเอกสารหมาย ล.5 และ ล.6 พฤติการณ์ที่โจทก์แสดงออกถึงการที่มิได้เข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของนับตั้งแต่ลงชื่อเป็นพยานในสัญญาจะซื้อจะขายที่มีจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้ซื้อเพียงผู้เดียวตามสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 ตลอดจนถึงการลงชื่อเป็นผู้ทำการแทนจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อซึ่งโจทก์เบิกความว่าที่ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเนื่องจากจำเลยที่ 1ให้ทำเช่นนั้นเพราะเกรงว่าโจทก์จะนำเอาบ้านพร้อมที่ดินไปจำนองผู้อื่น โจทก์จึงทำตามเพื่อให้จำเลยที่ 1 สบายใจเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเพราะหากโจทก์ประสงค์จะเป็นเจ้าของรวมกับจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์สามารถใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัพย์พิพาทได้เพราะเป็นกรณีที่โจทก์ได้รับมอบอำนาจให้ทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามลำพัง แต่โจทก์หาได้กระทำไม่ จึงเจือสมกับที่จำเลยที่ 1เบิกความว่าในการซื้อบ้านทั้งสองหลังดังกล่าวโจทก์ยืนยันว่าเมื่อซื้อบ้านนั้นเป็นของจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียว โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเนื่องจากเงินที่นำไปชำระเป็นเงินของจำเลยที่ 1หาได้เพียงฝ่ายเดียว โจทก์ไม่มีส่วนผ่อนชำระและยอมให้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว แม้กระทั่งนามสกุลของจำเลยที่ 1ที่ระบุในเอกสารก็ให้ใช้นามสกุลเดิมของจำเลยที่ 1 ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสที่ยอมให้ทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 ทรัพย์พิพาทย่อมไม่เป็นสินสมรสอีกต่อไป แต่มาตรา 1469 บัญญัติด้วยว่า สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ซึ่งในเรื่องนี้จำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าจำเลยที่ 1 กลับจากประเทศญี่ปุ่นแล้วอาศัยอยู่กับโจทก์ได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ โจทก์พูดขอแบ่งบ้านจากจำเลยที่ 1 ทุกวันเพราะไม่ประสงค์อยู่กินกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ถือได้ว่าโจทก์บอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว ทำให้ทรัพย์พิพาทกลับเป็นสินสมรสดังเดิมแต่เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469มีบทบัญญัติต่อไปว่า การบอกล้างดังกล่าวไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต และข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นแล้วว่าวันที่ 14 กรกฎาคม 2537 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายทรัพย์พิพาททั้งหมดแก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกทำการโดยสุจริตหรือไม่ โจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่มีงานทำคงไม่มีเงินที่จะไปซื้อบ้านจากจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยมิได้มีการชำระเงินกันจริง ซึ่งมีโจทก์เป็นพยานเบิกความในศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ซื้อทรัพย์พิพาทไว้โดยไม่สุจริตเพราะจำเลยที่ 2 เบิกความไว้ด้วยว่า เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้ทราบว่าสามีจำเลยที่ 1ไม่ได้ให้ความยินยอม แต่จำเลยที่ 1 ยืนยันว่าบ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ซึ่งถูกต้องตรงกับข้อความในข้อ 2 ของบันทึกถ้อยคำที่จำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่นายอำเภอขาณุวรลักษณบุรีทั้งตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 2 แปลงที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขายยอมรับในข้อ 1 ของเอกสารดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 ได้รับค่าขายที่ดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว กรณีถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ซื้อทรัพย์พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต การที่โจทก์บอกล้างสัญญาที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำกันไว้เกี่ยวกับทรัพย์พิพาทนั้นไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของจำเลยที่ 2 บุคคลภายนอกที่มีต่อทรัพย์ดังกล่าวจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง
พิพากษากลับ ให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share