คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5184/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับสัมปทานทำไม้หวงห้ามธรรมดานอกจากไม้สักจากรัฐบาลโดยยอมปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานบันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าวจึงต้องผูกพันโจทก์ โจทก์จะต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ3โดยเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้ป่าไม้เขตท้องที่ทราบเมื่อได้รับความยินยอมจากป่าไม้เขตแล้วจึงขอรับสมุดเงินฝากไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทานและตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ4ระบุด้วยว่าถ้าผู้รับสัมปทานฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดไปจากบันทึกที่ให้ไว้นี้ให้ถือว่าผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ17และยินยอมให้ผู้ให้สัมปทานสั่งพักการทำไม้ไว้หรือสั่งเพิกถอนสัมปทานทำไม้เสียก็ได้และผู้รับสัมปทานยินยอมนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าที่คำนวณได้จากไม้ที่ทำออกและตรวจวัดตีตราเก็บเงินค่าภาคหลวงแล้วส่งมอบให้กรมป่าไม้หรือผู้รับมอบอำนาจจากกรมป่าไม้จนครบถ้วนด้วยเห็นได้ว่าแม้สัมปทานถูกเพิกถอนแล้วหากโจทก์ไม่ดำเนินการปลูกป่าจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าวอีกด้วยเมื่อโจทก์ค้างปลูกป่าและค้างค่าบำรุงป่าเป็นเงินจำนวนหนึ่งถือได้ว่าโจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ3จำเลยจึงมีสิทธิที่จะยึดสมุดเงินฝากของโจทก์ไว้เพื่อปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ4ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับสัมปทานทำไม้หวงห้ามธรรมดานอกจากไม้สักโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในนามรัฐบาลเป็นผู้ให้สัมปทานรวม 3 ป่าสัมปทาน มีกำหนดเวลา 30 ปีต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม 2531 พลเอกชาติชายนายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 1/2531 ให้ผู้รับสัมปทานทำไม้หวงห้ามทุกชนิดในเขตพื้นที่ที่กำหนดหยุดการทำไม้เป็นผลให้โจทก์ต้องหยุดการทำไม้ตามป่าสัมปทานที่ได้รับ โจทก์ถือว่าการกระทำดังกล่าวรัฐบาลเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาสัมปทานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องปลูกป่าและบำรุงรักษาป่าโดยค่าใช้จ่ายของโจทก์ตามเงื่อนไขสัมปทานอีกต่อไป เงินที่โจทก์ฝากธนาคารกสิกรไทยสาขาพังงา และธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพังงา ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่ยังเหลืออยู่จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยที่ 3ได้มีคำสั่งให้โจทก์มอบเงินให้แก่จำเลยที่ 3 โจทก์เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการรอนสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีหนังสือถึงจำเลยทั้งสี่ให้ส่งมอบสมุดเงินฝากคืนแก่โจทก์รวม 5 บัญชี แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยขอให้สั่งสั่งห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เกี่ยวข้องกับเงินฝากในธนาคารตามฟ้องของโจทก์ และให้บังคับจำเลยทั้งสี่ส่งมอบสมุดเงินฝากรวมทั้งสิ้น 5 บัญชี คืนแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในนามรัฐบาลได้ให้สัมปทานการทำไม้แก่โจทก์นั้น โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484สัมปทานของโจทก์จึงมิใช่สัญญาทางแพ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาคำสั่งให้หยุดการทำไม้เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะสั่งได้โดยชอบโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 68 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 พ.ศ. 2532 นับแต่โจทก์ได้รับสัมปทานทำไม้ทั้งสามสัมปทาน โจทก์ไม่ได้เสนอแผนงานและมิได้ทำการปลูกต้นไม้ บำรุงรักษาต้นไม้ บำรุงรักษาป่าปลูกทดแทนดำเนินการป้องกันไฟในเขตป่าสัมปทานและป่าที่มีการปลูกบำรุงให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขในสัมปทานให้เสร็จสิ้นแต่อย่างใดแม้สัมปทานการทำไม้ของโจทก์จะสิ้นสุดลง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับมอบเงินดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการปลูกต้นไม้ บำรุงรักษาต้นไม้ และบำรุงรักษาป่าแทนโจทก์จำเลยทั้งสี่มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า จำเลยทั้งสี่มีสิทธิที่จะยึดสมุดเงินฝากของโจทก์ไว้ได้หรือไม่ ข้อนี้โจทก์และจำเลยทั้งสี่นำสืบว่า โจทก์ได้นำเงินค่าปลูกป่าและบำรุงป่าไม้ไปฝากธนาคารในนามโจทก์ตามคำสั่งจำเลยที่ 1 และโจทก์นำสมุดบัญชีเงินฝากไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานป่าไม้เขตนครศรีธรรมราช จำเลยทั้งสี่นำสืบต่อไปว่าตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานในการขอรับสมุดเงินฝากโจทก์ต้องเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้ป่าไม้เขตท้องที่ทราบ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากป่าไม้เขตแล้วจึงขอรับสมุดเงินฝากไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทาน เมื่อสิ้นสุดสัมปทานแล้วโจทก์ไม่เข้าไปปลูกป่า จำเลยที่ 1 เข้าไปตรวจสอบเนื้อที่ที่โจทก์ค้างปลูกและค้างบำรุงรักษาป่าเป็นเงิน 3,454,832.22 บาท ข้อนี้นายชวลิตพยานโจทก์เบิกความว่า ได้ตรวจดูสัมปทานทั้งสามฉบับแล้ว ข้อ 17และ ข้อ 19กำหนดให้โจทก์ปลูกป่าและบำรุงป่าป้องกันไฟป่าและบำรุงรักษาต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แล้วภายในระยะเวลาสัมปทานที่จำเลยที่ 1 กำหนดด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์เอง หลังจากโจทก์ได้รับสัมปทานทั้งสามฉบับได้มีการทำบันทึกต่อท้ายสัมปทาน โจทก์ชำระค่าปลูกป่าแล้วเพราะหากไม่ชำระโจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ชำระค่าภาคหลวง โจทก์ได้รับสัมปทานตั้งแต่ปี 2517 โจทก์ลงมือตัดไม้ตั้งแต่ปี 2519 การปลูกป่าเมื่อปลูกแล้วจะต้องบำรุงรักษาต่อไปอีก 5 ปี เป็นเช่นนี้เรื่อยไปทุกครั้งที่มีการปลูกป่า ซึ่งเจือสมกับพยานจำเลยทั้งสี่ โจทก์มิได้นำสืบปฏิเสธว่าโจทก์มิได้ค้างปลูกป่าคงโต้เถียงแต่เพียงว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องปลูกป่าภายหลังสัมปทานสิ้นสุดลงเท่านั้นข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่จำเลยทั้งสี่นำสืบว่าโจทก์ค้างปลูกป่าและค้างค่าบำรุงป่าเป็นเงิน 3,454,832.22 บาท และการที่โจทก์ยอมปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทาน บันทึกต่อท้ายสัมปทานดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ กล่าวคือ โจทก์จะต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 3 โดยเสนอแผนการปฏิบัติงานโดยย่อให้ป่าไม้เขตท้องที่ทราบ เมื่อได้รับความยินยอมจากป่าไม้เขตแล้วจึงขอรับสมุดเงินฝากไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามเงื่อนไขสัมปทานได้ อีกประการหนึ่งตามข้อ 4 ระบุด้วยว่าถ้าผู้รับสัมปทานฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดไปจากบันทึกที่ให้ไว้นี้ ให้ถือว่าผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัมปทาน ข้อ 17 และยินยอมให้ผู้ให้สัมปทานสั่งพักการทำไม้ หรือสั่งเพิกถอนสัมปทานการทำไม้เสียก็ได้ และผู้รับสัมปทานยินยอมนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าที่คำนวณได้จากไม้ที่ทำออกและตรวจวัดตีตราเก็บเงินค่าภาคหลวง แล้วส่งมอบให้กรมป่าไม้ หรือผู้รับมอบอำนาจจากกรมป่าไม้จนครบถ้วนด้วย จากข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าแม้สัมปทานถูกเพิกถอนแล้วหากโจทก์ไม่ดำเนินการปลูกป่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะบังคับให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าวอีกด้วยเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ค้างปลูกป่าและค้างค่าบำรุงป่าเงินเงิน 3,454,832.22 บาท โจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามบันทึกต่อท้ายสัมปทานข้อ 3 จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิที่จะยึดสมุดเงินฝากของโจทก์ไว้เพื่อปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายสัมปทาน ข้อ 4 ได้
พิพากษายืน

Share