คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2846/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ลักลอบนำพาเลื่อยยนต์ซึ่งเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดผลิตในต่างประเทศซึ่งยังมิได้เสียภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลที่จะต้องเรียกค่าภาษีอากรขาเข้า หรือมิฉะนั้น จำเลยได้ซื้อ รับจำนำ รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ และช่วยพาเอาไปเสีย ช่วยจำหน่าย ช่วยซ่อนเร้นซึ่งของดังกล่าวโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำพาหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27,27 ทวิ แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหนึ่งเพียงข้อหาเดียวเพราะความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวเป็นคนละความผิดกันจะลงโทษจำเลยในทั้งสองข้อหาย่อมไม่ได้ เมื่อจำเลยให้การว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ย่อมไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรฐานใดจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 9 คน ที่หลบหนีร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ ได้ร่วมกันตัดฟันโค่นไม้ยาง1 ต้น อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติและร่วมกันมีไม้ยาง 1 ท่อน ปริมาตร 9.47 ลูกบาศก์เมตรซึ่งยังมิได้แปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ครอบครองโดยไม้ดังกล่าวไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายและจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยกับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันแปรรูปไม้ยางอันเป็นหวงห้ามโดยเลื่อยออกเป็นเหลี่ยมได้ไม้ยางแปรรูป จำนวน 20 เหลี่ยมปริมาตร 7.65 ลูกบาศก์เมตร อันเป็นการทำให้ไม้ดังกล่าวเปลี่ยนรูปและขนาดไปจากเดิมโดยจำเลยได้ทำการแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย และได้ร่วมกันมีไม้ยางแปรรูป อันเป็นไม้หวงห้าม จำนวน 20 เหลี่ยม ปริมาตร7.65 ลูกบาศก์เมตรซึ่งเกินกว่า 0.20 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในครอบครองของจำเลยภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2535 ถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2535เวลากลางวันและเวลากลางคืน วันเวลาใดไม่ปรากฎชัด ได้มีผู้ลักลอบนำพาเลื่อยยนต์จำนวน 1 เครื่อง ราคา 7,000 บาทซึ่งเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดผลิตในต่างประเทศ ซึ่งยังมิได้เสียภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลที่จะต้องเสียค่าภาษีอากรขาเข้า จำนวน 2,737 บาท ซึ่งรวมราคาของและค่าอากรเข้าด้วยแล้วเป็นจำนวน 9,737 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่อมาหลังจากที่มีผู้ลักลอบนำพาของหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดเลื่อยยนต์ 1 เครื่อง ราคา 7,000 บาท ซึ่งเป็นของที่ได้มีผู้ลักลอบนำพาหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเป็นของกลาง ทั้งนี้ ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าว จำเลยเป็นผู้ลักลอบนำพาเลื่อยยนต์ดังกล่าว หรือมิฉะนั้น จำเลยได้ซื้อ รับ จำนำ รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์จำนวน 1 เครื่อง ราคา 7,000 บาท และช่วยพาเอาไปเสีย ช่วยจำหน่าย ช่วยซ่อนเร้น ซึ่งของดังกล่าวโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นนั้นลักลอบนำพาหนีศุลกากร เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น จำนวน 2,737 บาทซึ่งรวมราคาของและค่าอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงินจำนวน 9,739 บาทอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 9, 14, 31, 35พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 11, 47, 48, 69, 73,74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และริบของกลางกับจ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับ และจ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานผู้จับตามกฎหมายด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 9, 14, 31 (ที่ถูก31 วรรคสอง), 35 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 11,47, 48, 69, (ที่ถูก 69 วรรคสอง), 73 (ที่ถูก 73 วรรคสอง),74, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27,27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานทำไม้ ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท ฐานมีไม้หวงห้ามยังไม่แปรรูปไว้ในครอบครองจำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาทฐานแปรรูปไม้ จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท ฐานมีไม้แปรรูปเกิน0.20 ลูกบาศก์เมตร จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท ฐานรับไว้โดยประการใดซึ่งของที่รู้ว่านำเข้าในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าแล้ว เป็นปรับ38,956 บาท รวมเป็นจำคุก 4 ปีและปรับ 158,956 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี และปรับ79,478 บาท โทษจำคุกให้รับการลงอาญาไว้มีกำหนด 3 ปีไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30เนื่องจากศาลพิพากษาให้ปรับเกินสี่หมื่นบาท ให้กักขังจำเลยได้ไม่เกิน 2 ปี ของกลางริบ และจ่ายสินบนและเงินรางวัลแก่ผู้นำจับและเจ้าพนักงานตามกฎหมายยกเว้นข้อหาทำไม้
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานทำไม้เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ซึ่งเป็นบทหนักที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปีฐานมีไม้หวงห้ามยังไม่แปรรูปไว้ในครอบครองจำคุก 1 ปี ฐานแปรรูปไม้จำคุก 1 ปี ฐานมีไม้แปรรูปเกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตร จำคุก 1 ปีโดยความผิดทั้งสี่ฐานนี้ไม่ปรับจำเลย ฐานรับไว้โดยประการใดซึ่งของที่รู้ว่านำเข้าในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าแล้วเป็นปรับ 38,956 บาทรวมจำคุก 4 ปี ปรับ 38,956 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก2 ปี ปรับ 19,478 บาท ไม่รอการลงโทษให้จำเลย ไม่จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับเพราะศาลมิได้ปรับจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ไม้ยางหวงห้ามที่จำเลยกับพวกตัดโค่นนั้นมีปริมาตรมากถึง 9.47 ลูกบาศก์เมตรซึ่งนับว่ามีลักษณะเป็นการทำลายป่าสงวนแห่งชาติให้ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากไม้ยางดังกล่าวกว่าจะใช้เวลาเจริญเติบโตมาจนได้ขนาดนี้ต้องใช้เวลาหลายสิบปี การที่จำเลยตัดโค่นไม้ยางดังกล่าวย่อมเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นภัยร้ายแรงยิ่งต่อประเทศนอกจากนี้จำเลยยังได้นำเลื่อยยนต์ที่มีการนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย สำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดฐานแปรรูปไม้อีกด้วย สภาพความผิดของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ลักลอบนำพาเลื่อยยนต์ จำนวน1 เครื่อง ราคา 7,000 บาท ซึ่งเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดผลิตในต่างประเทศซึ่งยังมิได้เสียภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลที่จะต้องเรียกค่าภาษีอากรขาเข้า หรือมิฉะนั้นจำเลยได้ซื้อ รับจำนำรับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ และช่วยพาเอาไปเสียช่วยจำหน่าย ช่วยซ่อนเร้นซึ่งของดังกล่าวโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำพาหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง เพียงข้อหาเดียวเพราะความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวเป็นคนละความผิดกันจะลงโทษจำเลยในทั้งสองข้อหาดังกล่าวย่อมไม่ได้เมื่อจำเลยให้การว่า “ขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ” ย่อมไม่ชัดเจน พอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรฐานใดจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรไม่ได้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร ฐานรับไว้โดยประการใดซึ่งของที่รู้ว่านำเข้าในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร จึงไม่ชอบปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share