คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 518/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหมายเรียกส. กรรมการผู้จัดการของบริษัทลูกหนี้มาสอบสวนและให้ส่งดวงตราต่างๆของลูกหนี้มาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เก็บรักษาไว้เป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา19วรรคแรกส. ย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องโต้แย้งมูลหนี้ของเจ้าหนี้โดยไม่ต้องประทับตราของลูกหนี้เหมือนเช่นกรณีลูกหนี้จะไปทำนิติกรรมสัญญาก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์และถือว่าส. มีอำนาจทำการแทนลูกหนี้ได้มิใช่กระทำในฐานะส่วนตัว เจ้าหนี้ผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อพิสูจน์ว่าหนี้ที่ยืนคำขอรับชำระหนี้ไว้มีอยู่จริงและในการตรวจคำขอรับชำระหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจออกหมายเรียกเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือบุคคลใดมาสอบสวนในเรื่องหนี้สินแล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระนั้นต่อศาลดังนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าศ.ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้(จำเลย) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2533 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงินทั้งสิ้น 23,390,000 บาทจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ รายละเอียดปรากฏตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ธนาคารกรุงไทยจำกัด เจ้าหนี้ผู้โต้แย้งว่า เจ้าหนี้นำหลักทรัพย์จำนองของนายสมศักดิ์ วนาสวัสดิ์ ไปขายเพื่อชำระหนี้เป็นการกระทำในฐานะผู้จัดการมรดก จึงต้องขอรับชำระหนี้ในนามกองมรดกของนายสมศักดิ์และนายสมยศ วนาสวัสดิ์ ในฐานะกรรมการของลูกหนี้โต้แย้งว่าทรัพย์สินที่เจ้าหนี้อ้างว่าขายนำเงินไปไถ่ถอนจากธนาคารนั้นเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ แต่นายสมศักดิ์ วนาสวัสดิ์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า เจ้าหนี้ไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารผู้รับจำนองในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมศักดิ์ วนาสวัสดิ์ แต่กระทำในนามของลูกหนี้ เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เสียทั้งสิ้นตามมาตรา 107(1) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อสุดท้ายที่เจ้าหนี้ฎีกาว่าคำโต้แย้งคัดค้านของลูกหนี้ไม่ชอบ เพราะนายสมยศผู้กระทำแทนกระทำโดยปราศจากอำนาจและเป็นการกระทำในฐานะส่วนตัวเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจพิจารณาคำโต้แย้งของลูกหนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำขอรับชำระหนี้ไม่ชอบนั้น เห็นว่าเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้แล้ว คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้ถือเสมือนว่าเป็นหมายของศาลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเข้ายึดดวงตรา สมุดบัญชี และเอกสารของลูกหนี้และบรรดาทรัพย์สินซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้ หรือของผู้อื่นอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เมื่อปรากฏว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกนายสมยศกรรมการผู้จัดการของลูกหนี้มาสอบสวน และให้ส่งดวงตราต่าง ๆ ของลูกหนี้มาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เก็บรักษาไว้อันเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 19 วรรคแรก กรณีเช่นนี้นายสมยศย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องโต้แย้งมูลหนี้ของเจ้าหนี้โดยไม่ต้องประทับตราของลูกหนี้เหมือนเช่นกรณีลูกหนี้จะไปทำนิติกรรมสัญญาก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์คำโต้แย้งคัดค้านของลูกหนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย โดยถือว่านายสมยศกรรมการผู้จัดการลูกหนี้มีอำนาจทำการแทนลูกหนี้ได้ มิใช่กระทำในฐานะส่วนตัว สำหรับการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเป็นเรื่องที่เจ้าหนี้ผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อพิสูจน์ว่าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้มีอยู่จริง ทั้งในการตรวจคำขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจออกหมายเรียกเจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือบุคคลใดมาสอบสวนในเรื่องหนี้สินแล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระนั้นต่อศาล ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 105 ดังนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจวินิจฉัยว่านายสมศักดิ์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share