คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 517/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้อง ของ ทนายโจทก์กล่าวเพียงว่าทนายโจทก์กับโจทก์มีความเห็นทางคดีไม่ตรงกัน และโจทก์ไม่ชำระค่าทนายความตามที่ตกลงกันจึงขอถอนตัวจากการเป็นทนาย มิได้กล่าวในคำร้องว่าทนายโจทก์ได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้ว หรือหาตัวความไม่พบ ถือได้ว่าทนายโจทก์มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลถึงเหตุดังกล่าวตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 วรรคแรก ประกอบพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 17 บังคับไว้ เป็นคำร้องขอถอนตัวจากการตั้งแต่งให้เป็นทนายความที่ไม่ชอบ แม้ทนายของคู่ความหรือตัวความไม่มาศาลในวันชี้สองสถานศาลภาษีอากรกลางก็มีอำนาจทำการชี้สองสถานไปได้โดยไม่จำต้องเลื่อนการชี้สองสถานออกไป ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 13 การที่ศาลภาษีอากรกลางสั่งคำร้อง ของ ทนายโจทก์ที่ขอถอนตัวจากการเป็นทนายและขอเลื่อนคดี เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณา นอกจากการนั่งพิจารณาและพิพากษาคดีที่ผู้พิพากษาศาลภาษีอากรคนใดคนหนึ่งมีอำนาจกระทำ หรือออกคำสั่งได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯมาตรา 16 การที่ศาลภาษีอากรกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาการชี้สองสถานมาอ่านให้คู่ความฟังที่หน้าห้องโดยมิได้ขึ้นนั่งพิจารณาบนบัลลังก์นั้นชอบด้วยข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 20 ซึ่งกำหนดว่า ศาลอาจมีคำสั่งกำหนดการนั่งพิจารณาคดี ณ สถานที่ใด หรือในวันเวลาใด ๆก็ได้ ตามที่เห็นสมควร โจทก์มิได้คัดค้านว่าผู้พิพากษาคนเดียวทำการชี้สองสถานไม่ครบองค์คณะในขณะนั้น ถือว่าไม่ติดใจคัดค้านในเรื่ององค์คณะไม่อาจยกขึ้นอุทธรณ์ได้ ศาลภาษีอากรกลางนำข้ออ้างข้อเถียงที่ปรากฏในคำคู่ความเทียบกันดูแล้ว ทำการชี้สองสถานไปโดยมิได้สอบถามคู่ความถึงข้ออ้าง ข้อเถียงว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้ง ข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไร เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสอบถาม เนื่องจากเป็นข้อที่คู่ความโต้แย้งกันในคำฟ้องและคำให้การโดยตรงอยู่แล้วเป็นการชี้สองสถานที่ชอบตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 12

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งซื้อเหล็กเส้นข้ออ้อยจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษในการลดอัตราอากรขาเข้าลงเหลือร้อยละ 50 ตามข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศภาคีอาเซียน มาถึงประเทศไทยในวันที่ 28 กรกฎาคม 2532 แต่โจทก์ยังไม่ได้รับใบรับรองเมืองกำเนิดสินค้า โจทก์จึงชำระอากรสินค้าขาเข้าเต็มจำนวนเป็นเงิน2,885,833 บาท โดยขอสงวนสิทธิในการขอรับคืนอากรขาเข้าตามสิทธิพิเศษจำนวน 1,422,916.50 บาท ต่อมาโจทก์ได้รับใบรับรองเมืองกำเนิดสินค้าจากประเทศอินโดนีเซีย จึงขอรับคืนอากรตามสิทธิพิเศษดังกล่าว แต่จำเลยไม่ยอมคืน ขอให้จำเลยชำระเงินค่าอากรดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่4 สิงหาคม 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ผู้จะได้รับสิทธิพิเศษตามความตกลงว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษทางการค้าของอาเซียนนั้น ต้องปฏิบัติตามกฎข้อ 12โดยผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามประกาศกรมศุลกากรที่ 36/2520 แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตาม โดยมิได้ยื่นหนังสือรับรองเมืองกำเนิดสินค้าพร้อมกับการยื่นใบขนสินค้าขาเข้า โจทก์จึงไม่ได้สิทธิพิเศษดังกล่าวและไม่อาจขอสงวนสิทธิในการขอรับอากรขาเข้าที่ได้ชำระโดยชอบคืนขอให้ยกฟ้อง
ในชั้นชี้สองสถาน ศาลภาษีอากรกลาง กำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วเห็นว่าโจทก์มีภาระการพิสูจน์แต่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานจึงให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษา
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่าคดีมีเหตุควรให้ทนายโจทก์ถอนตัวจากการเป็นทนายและเลื่อนการชี้สองสถานหรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้องของทนายโจทก์กล่าวเพียงว่าทนายโจทก์กับโจทก์มีความเห็นทางคดีไม่ตรงกันและโจทก์ไม่ชำระค่าทนายความตามที่ตกลงกันไว้ จึงขอถอนตัวจากการเป็นทนาย โดยมิได้กล่าวในคำร้องว่า ทนายโจทก์ได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้ว หรือหาตัวความไม่พบ อันถือได้ว่าทนายโจทก์มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลถึงเหตุดังกล่าวตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา65 วรรคแรก ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 บังคับไว้ จึงเป็นคำร้องขอถอนตัวจากการตั้งแต่งให้เป็นทนายความที่ไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่ศาลต้องอนุญาตให้ทนายถอนตัว และศาลไม่มีหน้าที่ต้องคอยระวังความเสียหายให้โจทก์จากการกระทำที่มิชอบของทนายความที่โจทก์เป็นผู้แต่งตั้งเข้ามาเองดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในอุทธรณ์ ทั้งการที่ศาลจะอนุญาตให้ทนายคู่ความถอนตัวหรือไม่ หรือแม้ทนายของคู่ความหรือตัวความไม่มาศาลในวันชี้สองสถาน ศาลก็อาจทำการชี้สองสถานไปได้ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 13 โดยไม่จำต้องเลื่อนการชี้สองสถานออกไปส่วนที่ศาลสั่งคำร้องของทนายโจทก์ที่ขอถอนตัวจากการเป็นทนายและขอเลื่อนคดีเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณานอกจากการนั่งพิจารณาและพิพากษาคดี ที่ผู้พิพากษาศาลภาษีอากรคนใดคนหนึ่งมีอำนาจกระทำหรือออกคำสั่งได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 16 ที่ศาลภาษีอากรกลาง สั่งยกคำร้องทั้งสองของทนายโจทก์นั้นชอบแล้ว
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อต่อไปมีว่า ศาลได้ดำเนินการชี้สองสถานโดยชอบหรือไม่ โดยโจทก์โต้แย้งว่าศาลภาษีอากรกลางทำการชี้สองสถานโดยผู้พิพากษาคนเดียวนำรายงานกระบวนพิจารณามาอ่านให้คู่ความฟังโดยมิได้ขึ้นนั่งพิจารณา ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 20 ได้กำหนดไว้ว่า ศาลอาจมีคำสั่งกำหนดการนั่งพิจารณาคดี ณ สถานที่ใด หรือในวันเวลาใด ๆ ก็ได้ตามที่เห็นสมควร แม้คดีนี้ศาลภาษีอากรกลางจะจดรายงานกระบวนพิจารณาการชี้สองสถานมาอ่านให้คู่ความฟังที่หน้าห้องโดยมิได้ขึ้นนั่งพิจารณาบนบัลลังก์ก็ชอบด้วยข้อกำหนดดังกล่าว ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้พิพากษาคนเดียวทำการชี้สองสถานไม่ครบองค์คณะนั้น ในข้อนี้โจทก์มิได้คัดค้านในขณะนั้น ถือว่าไม่ติดใจคัดค้านในเรื่ององค์คณะจึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ ส่วนที่โจทก์ว่าการชี้สองสถานศาลภาษีอากรกลางมิได้นำข้ออ้างข้อเถียงที่ปรากฏในคำคู่ความเทียบกันดูและสอบถามคู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้างข้อเถียงว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้างข้อเถียงนั้นอย่างไรนั้น คดีนี้ศาลภาษีอากรกลางได้ทำการชี้สองสถานโดยนำข้ออ้าง ข้อเถียงที่ปรากฏในคำคู่ความเทียบกันดูแล้ว มิฉะนั้นศาลจะกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบไม่ถูก ส่วนที่ศาลมิได้สอบถามคู่ความถึงข้ออ้างข้อเถียงว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไรก็เพราะเห็นว่าไม่จำต้องสอบถามเนื่องจากเป็นข้อที่คู่ความโต้แย้งกันในคำฟ้องและคำให้การโดยตรงอยู่แล้ว การชี้สองสถานของศาลภาษีอากรกลางได้ดำเนินการโดยชอบตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 12 แล้ว
พิพากษายืน

Share