คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 517/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1-2 ปลูกเรือนในที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากที่ดินและรื้อถอนเรือนออกไปต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องว่า เรือนเป็นของมารดาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1-2 อาศัยอยู่ด้วยในฐานะบริวาร ขอให้เรียกมารดาจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 3 ด้วย ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้ขอแก้คำขอท้ายฟ้อง ซึ่งขอให้บังคับจำเลยที่ 1-2 ให้รวมถึงจำเลยที่ 3 ด้วยก็ตาม ศาลก็ย่อมพิพากษาบังคับจำเลยที่ 3 ตามคำขอนั้นได้เพราะตามคำฟ้องเดิมของโจทก์ ประกอบกับคำร้องขอแก้ฟ้องก็ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ต่อจำเลยที่ 3 รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาชัดแจ้งอยู่แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด 10636 กับที่งอกริมตลิ่ง โดยซื้อจากการขายทอดตลาดของศาล จำเลยที่ 1-2 ได้ปลูกเรือน 2 หลัง ครัว 1 หลัง ในที่งอกดังกล่าว โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยก็เพิกเฉย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากที่ดินและรื้อถอนอาคารออกไป

จำเลยทั้งสองให้การว่าที่พิพาทเป็นที่ว่างเปล่านอกโฉนด มิใช่ที่งอกของที่ดินโจทก์ จำเลยครอบครองมา 23 ปีแล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์ขอให้ยกฟ้อง

โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ขอให้เรียกนางทองอ่อนมารดาจำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยที่ 3 โดยอ้างว่า จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของเรือนและครัวดังกล่าว จำเลยที่ 1-2 อยู่ในอาคารของจำเลยที่ 3 ในฐานะอาศัยถือว่าเป็นบริวาร โจทก์ขอให้รื้อถอนอาคารออกไป จำเลยก็เพิกเฉย

จำเลยที่ 1-2 ให้การแก้ฟ้องเพิ่มเติมว่า อาคารในที่พิพาทมิใช่ของจำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสองมิใช่บริวารของจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า เรือนและครัวเป็นของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1-2 อยู่ร่วมในฐานะบริวาร เรือนและครัวบางส่วนอยู่ในที่งอกอันเป็นของโจทก์ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 3 รื้อเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลสั่งรับฎีกาปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 รื้อเรือนออกไปนั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอตามฟ้องโจทก์หรือไม่

ปรากฏว่า เดิมโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1-2 และบริวารออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมกับรื้อเรือนออกไปด้วย ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องว่า ความจริงนางทองอ่อนเป็นเจ้าของเรือน จำเลยที่ 1-2 เป็นผู้อาศัย ขอให้หมายเรียกนางทองอ่อนมาเป็นจำเลยที่ 3 อีกคนหนึ่งส่วนข้อความอื่นนอกจากที่แก้ไขเพิ่มเติม ขอให้ถือตามฟ้องเดิม ศาลอนุญาต และหมายเรียกนางทองอ่อนมาเป็นจำเลยที่ 3

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว การที่โจทก์ขอให้เรียกนางทองอ่อนมาเป็นจำเลยที่ 3 นี้ เป็นการเข้ามาเป็นจำเลยหรือผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(3) ซึ่งตามมาตรา 58 บัญญัติว่า ผู้ร้องสอดตามอนุ (1) (3) แห่งมาตรา 57 มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ จะเห็นได้ว่าในกรณีร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยตามอนุ (1) โจทก์ไม่จำต้องแก้ฟ้องให้มีคำขอให้ผู้ร้องสอดต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างใดด้วย ศาลก็อาจมีคำพิพากษาบังคับถึงจำเลยผู้ร้องสอดนั้นได้ ไม่ว่าผู้ร้องสอดอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยอื่นด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยนัยดังกล่าวสำหรับผู้ร้องสอดตามอนุ (3) ถ้าคำขอตามฟ้องเดิมมีสภาพที่จะบังคับถึงผู้ร้องสอดเช่นนี้ได้ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้บังคับผู้ร้องสอดตามคำขอนั้นได้ ตามคำฟ้องเดิมของโจทก์ในคดีนี้ ประกอบคำร้องขอแก้ฟ้องก็ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ต่อจำเลยที่ 3 รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาชัดแจ้งอยู่แล้ว แม้โจทก์มิได้ขอแก้คำขอท้ายฟ้องซึ่งขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับบริวารให้รวมถึงจำเลยที่ 3 ด้วยก็ตาม ก็คงมีผลเป็นคำขอให้บังคับแก่จำเลยที่ 3 ในทำนองเดียวกันด้วย จึงไม่เป็นการนอกฟ้อง

พิพากษายืน

Share