คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5163/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การทำสัญญาเช่าที่ดินเพื่อขุดหาพลอยนั้นคุณสมบัติของที่ดินที่เช่าที่ว่ามีการขุดหาพลอยมาก่อนแล้วหรือไม่ย่อมเป็นสาระสำคัญเมื่อที่ดินที่เช่ามีการขุดหาพลอยมาก่อนแล้วแต่ผู้เช่าทำสัญญาเช่าโดยเข้าใจว่าที่ดินที่เช่ายังไม่ได้มีการขุดหาพลอยมาก่อนจึงเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญสัญญาเช่าที่ดินเป็นโมฆียะเมื่อผู้เช่าบอกล้างโมฆียะกรรมโดยการบอกเลิกสัญญาเช่าและขอเช็คที่มอบให้เพื่อชำระค่าเช่าคืนจากผู้ให้เช่าสัญญาเช่าจึงเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมผู้ให้เช่าต้องคืนเช็คที่ชำระค่าเช่าแก่ผู้เช่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค 5 ฉบับ มีจำเลยที่ 1เป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลัง เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งห้าฉบับ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ยืมเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 1 มอบให้นายทนง ชัยทัศน์ เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเช่าที่ดินเพื่อขุดหาพลอย แต่ที่ดินดังกล่าวมีการขุดหาพลอยไปแล้ว จำเลยที่ 2 จึงบอกเลิกสัญญาเช่า จึงไม่มีมูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิด โจทก์ไม่ใช่ผู้ทางเช็คโดยสุจริต เพราะรับโอนมาโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระ แต่โจทก์ร่วมมือกับนายทนงผู้ทรงเช็คคนก่อนรับโอนเช็คพิพาทมาโดยการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์นำเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คที่โจทก์รู้ว่ามูลหนี้ตามเช็คระงับไปแล้วมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระเงินตามเช็คโดยไม่สุจริตเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสองหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2532นายสุเทพเช่าที่ดินเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ จากนายทนงเพื่อขุดพลอยมีกำหนดเวลา 5 ปี โดยเสียค่าเช่าเป็นเงินทั้งสิ้น1,200,000 บาท ชำระค่าเช่าในวันทำสัญญา 500,000 บาท ที่เหลือจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็ค 7 ฉบับ ฉบับละ 100,000 บาท และจำเลยที่ 1สลักหลังชำระค่าเช่าให้แก่นายทนง หลังจากทำสัญญาเช่าแล้วนายสุเทพเข้าไปขุดหาพลอยในที่ดินที่เช่า ปรากฏว่าที่ดินที่เช่าเคยมีการขุดหาพลอยมาก่อนแล้ว ความข้อนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบได้ว่า ที่ดินที่นายสุเทพเข่ามามีการขุดหาพลอยมาก่อนแล้ว การที่นายสุเทพเข้ามาทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจากนายทนงเพื่อขุดพลอย ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่านายสุเทพมีเจตนาจะให้นายทนงส่งมอบที่ดินที่ยังไม่มีการขุดหาพลอยมาก่อนเป็นการชำระหนี้หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้เช่า ตามสัญญาเช่าที่ทำขึ้นคุณสมบัติของที่ดินที่เช่าที่ว่ามีการขุดหาพลอยมาก่อนแล้วหรือไม่นั้น ตามปกติย่อมถือว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะหากมิได้มีความสำคัญผิดว่าที่ดินดังกล่าวยังมิได้มีการขุดหาพลอยมาก่อนนายสุเทพก็คงมิได้เข้าทำสัญญาเช่า ที่นายสุเทพทำสัญญาเช่าที่ดินที่มีการขุดหาพลอยมาก่อนแล้วจากนายทนงจึงเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติย่อมนับว่าเป็นสาระสำคัญ สัญญาเช่าที่ดินที่นายสุเทพทำกับนายทนงจึงเป็นโมฆียะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 120 เดิมนายสุเทพผู้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดจึงมีสิทธิบอกล้างได้ตามมาตรา 137 เดิม การที่นายสุเทพบอกเลิกสัญญาเช่าแก่นายทนงขอเช็คพิพาทคืนและพาจำเลยที่ 1 ไปแจ้งต่อธนาคารให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทนั้น ชี้ให้เห็นว่านายสุเทพไม่ประสงค์จะมีความผูกพันตามสัญญาเช่ากับนายทนงอีกต่อไป ถือได้ว่านายสุเทพได้แสดงเจตนาบอกล้างโมฆียะกรรมแก่นายทนงคู่กรณีโดยชัดแจ้งแล้ว สัญญาเช่าที่นายสุเทพทำกับนายทนงจึงตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก คู่กรณีจึงกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 140 เดิม ประกอบมาตรา 138 เดิม นายทนงจึงต้องส่งคืนเช็คพิพาทให้แก่นายสุเทพการที่เช็คพิพาทมาอยู่ในครอบครองของโจทก์นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ร่วมกับนายทนงผู้ทรงเช็คพิพาทเดิมนำเช็คพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 สลักหลังชำระหนี้ค่าเช่าที่ดินและมูลหนี้ได้ระงับไปแล้วมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชำระเงินตามเช็คโดยไม่สุจริตเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916ประกอบมาตรา 989 โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยทั้งสอง
พิพากษายืน

Share