คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หญิงชายอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสได้ร่วมกันซื้อนาและทำกินเป็นการแสดงเจตนาให้ถือได้ว่าเป็นเจ้าของร่วมกันส่วนเงินที่ซื้อฝ่ายใดจะยืมใครมาเป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับตัวทรัพย์ เพราะหญิงชายนั้นระคนปนทรัพย์กันใช้สอยและทำมาหากินด้วยกัน ต้องถือว่าต่างมีสิทธิเป็นเจ้าของคนละครึ่ง
เจ้าหนี้ของสามีจะเอาทรัพย์ส่วนของภริยาที่มิได้จดทะเบียนและมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามาชำระหนี้ไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 303/2488)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลแบ่งส่วนนาแปลงที่โจทก์ยึดให้แก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง

โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องต้องร่วมรับผิด

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดนาแปลงนี้เหลือเงินสุทธิเท่าใด แบ่งให้ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส จำเลยกับผู้ร้องได้ร่วมกันซื้อนาพิพาทจากนางแต่งได้วางเงินมัดจำไว้ก่อน 300 บาท ต่อมาจำเลยผู้เดียวได้กู้เงินโจทก์ แล้วใช้เงินที่กู้นี้ชำระค่านาไปจำเลยกับผู้ร้องได้ร่วมกันทำมาหากินจากนาแปลงนี้ตลอดมา โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ จำเลยไม่มีเงินใช้โจทก์จึงยึดนาพิพาท

ปัญหามีว่า ผู้ร้องจะมีสิทธิขอแบ่งได้หรือไม่

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับผู้ร้องได้ร่วมกันซื้อและทำมาหากินในนาพิพาทตลอดมา เป็นการแสดงเจตนาให้ถือได้ว่าจำเลยกับผู้ร้องเป็นเจ้าของร่วมกัน ส่วนเงินที่จำเลยซื้อจะยืมใครมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับตัวทรัพย์ที่พิพาท เพราะจำเลยกับผู้ร้องระคนปนทรัพย์กันใช้สอยและทำมาหากินด้วยกัน ต้องถือว่าต่างมีสิทธิเป็นเจ้าของคนละครึ่งตามนัยฎีกาที่303/2488 ผู้ร้องมีสิทธิขอแบ่งส่วนได้โจทก์จะบังคับคดีโดยเอาส่วนของผู้ร้องมาให้ร่วมรับผิดด้วยไม่ได้ เพราะผู้ร้องมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีชอบแล้วพิพากษายืน

Share