แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่รับซื้อฝากร้านค้าไว้จนหลุดเป็นสิทธิของตนแล้วได้ร่วมคิดกับผู้ขายฝากเอาร้านค้านั้นไปจำนองผู้เสียหายอีกและพูดรับรองว่า ร้านค้านั้นไม่ได้จำนองหรือขายฝากไว้กับผู้ใด ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงรับจำนองไว้ และชำระเงินให้ผู้รับซื้อฝาก ดังนี้ถือว่าผู้รับซื้อฝากสมคบกับผู้จำนองฉ้อโกงผู้เสียหาย
เมื่อโจทก์ถอนฟ้องไม่ดำเนินคดีเอาโทษฐานฉ้อโกงแก่ผู้จำนองซึ่งกระทำผิดและปรากฏว่าผู้รับซื้อฝาก ซึ่งร่วมกระทำผิดด้วยเป็นหญิงมีบุตรอ่อนเห็นควรให้รอการลงอาญาแก่ผู้รับซื้อฝากตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 41,42, ได้
ย่อยาว
ความว่า จำเลยที่ 2 กับพวกพาจำเลยที่ 1 ไปหาหลวงทรงฯ ที่บ้านขอจำนองร้านกาแฟเป็นเงิน 15,000 บาท จำเลยที่ 2 รับรองต่อหลวงทรงว่า ร้านกาแฟของจำเลยที่ 1 ไม่ได้จำนองหรือขายฝากไว้กับผู้ใด หลวงทรงฯ หลงเชื่อจึงรับจำนองจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับเงินจากหลวงทรงฯ และภริยา ร้านกาแฟของจำเลยที่ 1 นี้ความจริงจำเลยที่ 2 ได้รับซื้อฝากไว้จากจำเลยที่ 1 และครบสัญญาหลุดเป็นสิทธิของจำเลยที่ 2 ก่อนนำมาจำนองหลวงทรงฯ แล้ว โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันฉ้อโกงหลวงทรงฯ จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่โจทก์นำสืบยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 ด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 ผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 306 จำคุก 6 เดือนกับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นว่า จำเลยที่ 2 ต้องการเงิน จึงสมคบกับจำเลยที่ 1 ไปหลอกลวงฉ้อโกงหลวงทรงฯ พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยที่สอง 6 เดือน ตามมาตรา 306 และให้ช่วยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ระหว่างอุทธรณ์โจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 เสีย
นางสวงจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องมีความผิดแต่ตามรูปคดีหลวงทรงฯ ผู้เสียหายเลิกดำเนินคดีเอาโทษแก่จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นหญิงมีบุตรยังเล็กอยู่ยังไม่ควรลงอาญาจำคุกไปไปทีเดียว
พิพากษาแก้ ให้รอการลงอาญาแก่จำเลยที่ 2 ตามมาตรา 41, 42 นอกนั้นยืน