คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5141/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้จัดการมรดกต้องจัดการโดยตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1723 โจทก์ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก จึงไม่อาจจัดการมรดกได้โดยตนเอง ทั้งเหตุที่ต้องโทษจำคุกก็เนื่องมาจากการเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนในฐานะผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์ถือได้ว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 ที่ห้ามผู้ที่ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้วทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์กับกองทรัพย์มรดกที่ตนเองเป็นผู้จัดการมรดกมิใช่หมายความว่า กฎหมายเปิดโอกาสให้ตั้งผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกเป็นผู้จัดการมรดกได้
ผู้ร้องสอดที่ 1 อ้างว่ารู้ถึงทรัพย์มรดกทั้งหมดมากยิ่งกว่าทายาทคนอื่น ๆก็ไม่มีใครเบิกความสนับสนุน และผู้ร้องสอดที่ 2 คัดค้าน การที่ผู้ร้องสอดที่ 1ขอเป็นผู้จัดการมรดก นอกจากนี้ผู้ร้องสอดที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเรื่องยักยอกทรัพย์มรดก แม้ศาลพิพากษายกฟ้องก็ตาม แต่ผู้ร้องสอดที่ 1ไม่ได้รับความไว้วางใจจากทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆตามปกติและเหตุอันควรในปัจจุบันแล้ว ผู้ร้องสอดที่ 1 ยังไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเดิม ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 2621/2534ให้ถอนนางสุรี จารุศร จำเลย ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก และมีคำสั่งตั้งนายสิงหวิชัย จารุศร โจทก์ที่ 2 และนางสุวลัย จันทวานิช ผู้ร้องสอดที่ 2เป็นผู้จัดการมรดกของนายสว่าง จารุศร ผู้ตาย

ต่อมาผู้ร้องสอดที่ 2 ยื่นคำร้องว่า หลังจากที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาตั้งโจทก์ที่ 2 และผู้ร้องสอดที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว โจทก์ที่ 2และผู้ร้องสอดที่ 2 ได้ร่วมกันจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายตลอดมา แต่ยังไม่เสร็จสิ้น ต่อมาโจทก์ที่ 2 ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่กรรม ผู้ร้องสอดที่ 2 จึงไม่อาจจัดการมรดกของผู้ตายต่อไปแต่โดยลำพังได้ จึงมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกของผู้ตาย ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องสอดที่ 2 ให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไปแต่ผู้เดียว

โจทก์ที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและนางกริสนาหรือกฤษณา เจริญมาศ และเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับโจทก์ที่ 2 ต่อมาผู้ตายได้หย่าขาดกับนางกฤษณาแล้วจดทะเบียนสมรสกับจำเลย และมีบุตรกับจำเลยอีก 2 คน คือ ผู้ร้องสอดที่ 1 และผู้ร้องสอดที่ 2 ในระหว่างที่ผู้ร้องสอดที่ 2 กับโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ทั้งสองคนได้ร่วมกันจัดการทรัพย์มรดกโดยมีพฤติการณ์ส่อไปทางทุจริตมิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการมรดกให้ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ร้องสอดที่ 2 จึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายอีกต่อไปขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดที่ 2 และมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป

จำเลยยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดที่ 2 และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป

ผู้ร้องสอดที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายกับจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ร้องสอดที่ 2 ผู้ร้องสอดที่ 2 ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายอีกต่อไป ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป

ในระหว่างไต่สวนคำร้อง จำเลยถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนการคัดค้านของจำเลยออกจากสารบบความ

ส่วนผู้ร้องสอดที่ 2 แถลงไม่ติดใจที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางวรรณา จารุศร (บริสุทธิ์) โจทก์ที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกของนายสว่าง จารุศร ผู้ตาย โดยให้มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย ให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดที่ 1 และผู้ร้องสอดที่ 2

ผู้ร้องสอดที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายสว่าง จารุศร ผู้ตาย โดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าถ้าจะจำหน่ายจ่ายโอนหรือก่อภาระติดพันกับทรัพย์มรดกที่มีหลักฐานทางทะเบียนให้แก่บุคคลที่มิใช่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกโดยมิได้รับความยินยอมจากทายาททุกคนแล้ว จะต้องขออนุญาตศาลก่อนเป็นกรณีไปนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ผู้ร้องสอดที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดที่ 1เพียงว่า โจทก์ที่ 1 หรือผู้ร้องสอดที่ 1 สมควรเป็นผู้จัดการมรดกของนายสว่างจารุศร ผู้ตาย

ผู้ร้องสอดที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกหลายประการ ซึ่งเห็นควรวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องสอดที่ 1 ในข้อ 4 ก่อนโดยผู้ร้องสอดที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 บริหารกิจการบริษัทเครดิตฟองซิเอร์สยามเฟรนซ์ จำกัด จนเกิดความเสียหาย บริษัทดังกล่าวถูกฟ้องให้ล้มละลายเปรียบเสมือนโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นประธานกรรมการของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์สยามเฟรนซ์ จำกัด ดังกล่าวเป็นบุคคลล้มละลายด้วย การจัดการมรดกรายนี้ยากกว่าการดำเนินธุรกิจของโจทก์ที่ 1 ทั้งโจทก์ที่ 1 ถูกฟ้องคดีอาญาด้วย หากเป็นผู้จัดการมรดกความเสียหายย่อมจะเกิดแก่กองมรดก และต่อมาผู้ร้องสอดที่ 1 ยื่นคำแถลงว่าคดีที่โจทก์ที่ 1 ถูกฟ้องนั้น ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้จำคุก 5 ปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2543 เห็นว่า การเป็นผู้จัดการมรดกโดยหลักแล้วผู้จัดการมรดกต้องจัดการโดยตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1723เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ที่ 1 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 5 ปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นเช่นนี้จึงไม่อาจจัดการมรดกได้โดยตนเอง ทั้งเหตุที่ต้องโทษจำคุกก็เนื่องมาจากการเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนในฐานะผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์ ดังนี้ ถือได้ว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดก กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 1 ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกในประการอื่นตามฎีกาของผู้ร้องสอดที่ 1 อีกต่อไป

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ผู้ร้องสอดที่ 1 เหมาะสมจะเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้หรือไม่ ผู้ร้องสอดที่ 1 ฎีกาว่า ผู้ร้องสอดที่ 1 มีฐานะดีรู้ถึงทรัพย์มรดกทั้งหมดมากยิ่งกว่าทายาทคนอื่น ๆ แม้ผู้ร้องสอดที่ 1 จะเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยซึ่งเป็นมารดา และเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ซึ่งเป็นของบิดาก็ย่อมจะทำได้ เพราะมิได้ปฏิปักษ์ต่อกัน หรือหากฟังว่า ผู้ร้องสอดที่ 1เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก แต่กฎหมายก็มิได้ห้ามโดยเด็ดขาด หากศาลเห็นว่าผู้ร้องสอดที่ 1 เหมาะสมก็ชอบที่ตั้งผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกได้โดยไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 ทั้งศาลไม่เคยตั้งผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกเลย จึงควรตั้งผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียวนั้น เห็นว่า ในการเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ แม้บุคคลนั้น ๆ จะมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ผู้ที่ควรเป็นผู้จัดการมรดกน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการไว้วางใจจากทายาทให้เป็นผู้จัดการมรดกคดีนี้การที่ผู้ร้องสอดที่ 1 มีฐานะดีพอที่จะจัดการมรดกได้ไม่ใช่ข้อที่พึงจะนำมาพิจารณาดังกล่าวมาแล้ว การที่ผู้ร้องสอดที่ 1 อ้างว่ารู้ถึงทรัพย์มรดกทั้งหมดมากยิ่งกว่าทายาทคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครเบิกความสนับสนุนผู้ร้องสอดที่ 2 ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้ร้องสอดที่ 1 เอง และเคยเป็นผู้จัดการมรดกมาก่อนก็คัดค้านผู้ร้องสอดที่ 1 ทั้งเมื่อผู้ร้องสอดที่ 1 อุทธรณ์และฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และฎีกา ได้สั่งให้หมายนัดและส่งสำเนาอุทธรณ์และฎีกาแก่ผู้ร้องสอดที่ 2 ด้วย ซึ่งผู้ร้องสอดที่ 2 ก็ได้แก้อุทธรณ์และฎีกาเข้ามารวบรวมไว้ในสำนวนด้วย โดยผู้ร้องสอดที่ 2 ก็ได้คัดค้าน การที่ผู้ร้องสอดที่ 1 จะขอเป็นผู้จัดการมรดกด้วย นอกจากนี้ยังได้ความว่า ผู้ร้องสอดที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเรื่องยักยอกทรัพย์มรดกแม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องก็ตาม พฤติการณ์โดยรวมจึงน่าเชื่อว่า ผู้ร้องสอดที่ 1ไม่ได้รับความไว้วางใจจากทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 ห้ามผู้ที่ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้วทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์กับกองทรัพย์มรดกที่ตนเองเป็นผู้จัดการมรดก มิใช่หมายความว่า กฎหมายเปิดโอกาสให้ตั้งผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกเป็นผู้จัดการมรดกได้ดังผู้ร้องสอดที่ 1 ฎีกา แม้ผู้ร้องสอดที่ 1จะไม่เคยเป็นผู้จัดการมรดกมาก่อนเลยก็ตาม แต่เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆในคดีนี้โดยรอบคอบตามปกติและเหตุอันควรในปัจจุบันแล้ว ผู้ร้องสอดที่ 1ยังไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกคดีนี้”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอของโจทก์ที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share