คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อายุความฟ้องคดีเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนด 3 ปีนับแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นถึงกำหนดใช้เงิน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 ส่วนมาตรา 1002 เป็นบทบัญญัติที่ให้ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย แม้คำว่าตั๋วเงินจะหมายถึงตั๋วสัญญาใช้เงินดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 892 ด้วยก็ตาม แต่กรณีตั๋วสัญญาใช้เงินจะอยู่ในบังคับของมาตรา 1002 ก็ต่อเมื่อเป็นการฟ้องผู้สลักหลังเท่านั้น ส่วนที่มาตรา 1002 บัญญัติถึงกรณีที่ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สั่งจ่ายนั้นก็หมายถึงเฉพาะผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินและเช็ค เพราะในกรณีตั๋วสัญญาใช้เงินกฎหมายใช้คำว่าผู้ออกตั๋ว หาได้ใช้คำว่าผู้สั่งจ่าย ดังในกรณีตั๋วแลกเงินและเช็คไม่ ทั้งการฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินก็มีบัญญัติไว้ในมาตรา 1001 แล้ว
จำเลยตกลงกับโจทก์ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเรื่องอายุความฟ้องร้องประเด็นอื่นไม่ติดใจโต้เถียงกันต่อไป ดังนี้จะกลับมารื้อฟื้นประเด็นข้ออื่นซึ่งไม่ติดใจโต้เถียงกันแล้วให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาวินิจฉัยอีกหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยออกให้แก่โจทก์พร้อมทั้ง ดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินประเภทที่ไม่จำต้องทำคำคัดค้าน โจทก์ไม่ฟ้องเสียภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิไล่เบี้ย คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ผู้จัดการธนาคารสาขาของโจทก์ได้เรียกเก็บเงินตามเช็คที่มีผู้ออกค้ำประกันให้แก่โจทก์และได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมิได้คืนตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องให้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินจากจำเลยอีก
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยต่างแถลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือยัง ส่วนประเด็นอื่นไม่ติดใจโต้เถียงกันต่อไปและต่างฝ่ายต่างไม่สืบพยาน ถ้าศาลวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความก็ให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์และจำเลยยังมิได้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น และเห็นว่าอายุความฟ้องคดีเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนด ๓ ปีนับแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นถึงกำหนดใช้เงินดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๐๑ ส่วนมาตรา ๑๐๐๒ เป็นบทบัญญัติที่ให้ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย แม้คำว่าตั๋วเงินจะหมายถึงตั๋วสัญญาใช้เงินดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๙๘ ด้วยก็ตาม แต่กรณีตั๋วสัญญาใช้เงินจะอยู่ในบังคับของมาตรา ๑๐๐๒ ก็ต่อเมื่อเป็นการฟ้องผู้สลักหลังเท่านั้น ส่วนที่มาตรา ๑๐๐๒ บัญญัติถึงกรณีที่ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สั่งจ่ายนั้นก็หมายถึงเฉพาะผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินและเช็ค เพราะในกรณีตั๋วสัญญาใช้เงินกฎหมายใช้คำว่า ผู้ออกตั๋วหาได้ใช้คำว่าผู้สั่งจ่ายดังในกรณีตั๋วแลกเงินและเช็คไม่ทั้งการฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินก็มีบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๐๑ แล้ว ที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นโดยอ้างว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้นเห็น ว่าจำเลยตกลงกับโจทก์ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเรื่องอายุความฟ้องร้องคดีนี้เท่านั้น ประเด็นอื่นไม่ติดใจโต้เถียงกันต่อไปเมื่อจำเลยเองเป็นฝ่ายตกลงเช่นนี้แล้วจะกลับมารื้อฟื้นประเด็นข้ออื่นซึ่งไม่ติดใจ โต้เถียงกันแล้วให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาวินิจฉัยอีกหาได้ไม่ ส่วนฎีกาข้ออื่นศาลฎีกายังไม่เห็นสมควรจะแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นอย่างอื่น
พิพากษายืน

Share