แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีแพ่ง ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่จำเลยมิได้กล่าวแก้ให้เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2533 จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดข้าวสารของโจทก์ 714 กระสอบ คิดเป็นเงินขณะนำยึด511,500 บาท ที่บ้านเลขที่ 67/1 ถนนวุฒากาศ แขวงตลาดพลู เขตธนบุรีกรุงเทพมหานคร จำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดโดยอ้างว่าข้าวสารเป็นของนางชื่นจิตต์ จิตติมานะสัจจะ จำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 16140/2532 ของศาลแพ่ง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา วันที่ 27 ธันวาคม 2533 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดข้าวสารที่ยึดได้ราคาเพียง 300,000 บาท ต่ำกว่าราคาขณะถูกยึด ทำให้โจทก์ไม่สามารถขายข้าวสารได้ในราคาที่เป็นอยู่ในวันที่มีการยึดทรัพย์ ซึ่งจะขายได้ไม่ต่ำกว่า 511,500 บาท การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน 211,500 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยึดจนถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 17,064 บาท รวมเป็นเงิน 228,564 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 228,564 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 211,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดข้าวสารตามฟ้องนั้นเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะจำเลยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 16140/2532 ระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงรายพูนเจริญ โจทก์ นางชื่นจิตต์ จิตติมานะสัจจะ จำเลย ข้าวสารที่ยึดไว้เป็นของนางชื่นจิตต์ จึงไม่ทำให้โจทก์เสียหายการขายทอดตลาดข้าวสารที่ยึดไว้นั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่คัดค้านราคาจึงไม่มีเหตุทำให้โจทก์เสียหายการที่โจทก์ยื่นคำร้องให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังกล่าวแล้วฟ้องจำเลยอีกในประเด็นข้อพิพาทเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้อน การยึดข้าวสารและขายทอดตลาดเป็นการบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ทำให้โจทก์เสียหายและไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและดอกเบี้ย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำการอันใดที่เป็นการผิดกฎหมายอันเป็นเหตุละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำยึดข้าวสารโดยเชื่อว่าข้าวสารดังกล่าวเป็นของนางชื่นจิตต์ จิตติมานะสัจจะลูกหนี้ตามคำพิพากษาการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยนำยึดข้าวสารโดยรู้อยู่ว่าข้าวสารดังกล่าวเป็นของโจทก์ขอให้พิพากษากลับ คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยรับสำเนาอุทธรณ์โดยชอบแล้วมิได้แก้อุทธรณ์ดังนั้นในชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแล้วพิพากษายืนนั้นเห็นว่าปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่จำเลยมิได้กล่าวแก้ให้เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จึงเห็นสมควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับ (ที่ถูกคือยก) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1ข้อ 2(ก) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาแก่โจทก์