คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาเช็คที่นำมาขายลดถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน การที่จำเลยนำเช็คฉบับใหม่มาชำระหนี้ตามมูลหนี้ที่มาจากสัญญาขายลดเช็ค โดยไม่ได้เป็นการขายลดเช็คกับโจทก์ตามสัญญาเดิม และโจทก์ยอมรับเอาเช็คดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค เช่นนี้ จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้เป็นเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคสาม เมื่อเช็คฉบับใหม่เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันอันเป็นมูลหนี้เดิม
โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันจึงมีอายุความ 10 ปี
แม้จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์น้อยกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาศาลฎีกาก็มี อำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1), 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๑ นำเช็คมาขายลด ๓ ฉบับ เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยบางส่วนแล้ว ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๗๗,๘๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๗๔,๔๓๙ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ลายมือชื่อกรรมการในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นลายมือปลอม จำเลยมิได้นำเช็ค ๓ ฉบับไปขายลดให้โจทก์ แต่นำเช็ค ๔ ฉบับไปแลกกับเช็คฉบับอื่น เมื่อเช็คฉบับแรกถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยนำเงินสดไปแลกเช็คคืนมา ส่วนเช็คฉบับที่ ๒ ถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยนำเช็คฉบับอื่นไปแลกคืนมา ต่อมาเช็คทั้งสามฉบับถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ตกลงให้จำเลยทั้งสามแบ่งกันรับผิดคนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ จึงออกเช็คผ่อนชำระให้โจทก์ ๔ ฉบับ โดย ๓ ฉบับแรกสั่งจ่ายเงินฉบับละ ๘,๐๐๐ บาท ฉบับที่ ๔ สั่งจ่ายเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท เช็คฉบับแรกเรียกเก็บเงินได้ นอกนั้นถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์นำเช็คฉบับที่ ๔ ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีอาญา จำเลยที่ ๑ ชำระเงินตามเช็คแล้วโจทก์ถอนฟ้อง จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือปลอม จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามเช็คให้โจทก์แล้ว จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๗๔,๔๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๖ จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน ๓,๔๓๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๓ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ ตามลำดับ วันดังกล่าวจำเลยที่ ๑ นำเช็ค ๒ ฉบับ ฉบับละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท มาขายลดกับโจทก์ ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับ วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ นำเงินสดมาชำระดอกเบี้ยให้โจทก์และนำเช็คฉบับละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๔ ฉบับ มาขายลดกับโจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.๑๔ เพื่อเอาเงินชำระหนี้ตามเช็ค ๒ ฉบับแรก เช็ค ๔ ฉบับหลังนี้เมื่อถึงกำหนดแต่ละฉบับ ฉบับที่ ๑ โจทก์เรียกเก็บเงินได้ฉบับที่ ๒ ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ ได้นำเงินสดมาชำระดอกเบี้ยให้โจทก์และนำเช็คเอกสารหมาย จ.๑๒ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท มาขายลดกับโจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.๑๔ เอาเงินชำระหนี้ตามเช็คฉบับที่ ๒ แก่โจทก์ ส่วนเช็คฉบับที่ ๓ และที่ ๔ คือเช็คเอกสารหมาย จ.๘ และ จ.๑๐ ธนาคารตามเช็คก็ปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับและเมื่อเช็คเอกสารหมาย จ.๑๒ ถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ ๑ จึงเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๐ และ จ.๑๒ ฉบับละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ ได้นำเงินสดจำนวน ๖,๐๐๐ บาทเศษมาชำระค่าดอกเบี้ยที่ค้างแก่โจทก์ ๔,๐๐๐ บาทเศษ และชำระเป็นเงินต้น ๒,๐๐๐ บาทเศษ จึงเหลือเงินต้นตามเช็ค ๓ ฉบับ เพียง ๒๙๗,๓๔๘ บาท ตามรายการในบัญชีเอกสารหมาย จ.๑๖ แผ่นแรกต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้นำเช็คมาชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน ๕ ฉบับ สั่งจ่ายในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๒ เป็นเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่าย ๓ ฉบับ ฉบับละ ๘,๐๐๐ บาท ๒ ฉบับ ฉบับละ ๘๐,๐๐๐ บาท ๑ ฉบับ เช็คฉบับ ๘๐,๐๐๐ บาทนี้รวมทั้งค่าดอกเบี้ยด้วยส่วนอีก ๒ ฉบับเป็นเช็คที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ สั่งจ่ายคนละ ๑ ฉบับ ฉบับละ ๙๕,๐๐๐ บาท เช็คฉบับจำนวนเงิน ๘,๐๐๐ บาท ฉบับแรก โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คได้ ส่วนเช็คจำนวนเงิน ๘,๐๐๐ บาท ฉบับหลังกับเช็คจำนวนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ ส่วนเช็คที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ สั่งจ่ายคนละฉบับก็ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับเช่นกัน โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๑ ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฉบับจำนวนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท และฟ้องจำเลยที่ ๒ ในความผิดเดียวกันเกี่ยวกับเช็คจำนวนเงิน ๙๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ได้ชำระเงินตามเช็คให้โจทก์จนครบ ๘๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ถอนฟ้องแล้ว ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเช็คไม่มีวันที่ที่จำเลยที่ ๒ กระทำผิด ส่วนเช็คที่จำเลยที่ ๓ สั่งจ่ายจำเลยที่ ๓ ได้ชำระเงินให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว โดยโจทก์ไม่คืนเช็คเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๐ และ จ.๑๒ ให้จำเลยที่ ๑ ต่อมาโจทก์จึงได้มาฟ้องเป็นคดีนี้เรียกให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.๓ จ.๑๔ จ.๑๕ ซึ่งอ้างว่าเป็นหนี้ตามเช็คเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๐ และ จ.๑๒ ดังกล่าวทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมจำนวน ๒๗๗,๘๙๖ บาท เห็นว่าครั้งหลังสุดคือวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ ยังเป็นหนี้ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.๓, จ.๑๔ และ จ.๑๕ และบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้เอกสารหมาย จ.๑๖ เป็นหนี้จำนวน ๒๙๗,๓๔๘ บาท แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้นำเช็คจำนวน ๕ ฉบับมาชำระหนี้จำนวนดังกล่าวซึ่งมีมูลหนี้มาจากสัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.๓ จ.๑๔ จ.๑๕ (และเช็คเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๐ และ จ.๑๒) โดยไม่ได้มาขายลดเช็คกับโจทก์ดังที่เคยปฏิบัติมา และโจทก์ยอมรับเอาเช็คทั้ง ๕ ฉบับจากจำเลยที่ ๑ เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คและเช็คดังกล่าว จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้เป็นเงิน เมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามเช็คของจำเลยที่ ๑ ฉบับจำนวนเงิน ๘,๐๐๐ บาท และฉบับจำนวนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท กับเช็คของจำเลยที่ ๓ จำนวนเงิน ๙๕,๐๐๐ บาทแล้ว จึงรวมเงินที่โจทก์ได้รับชำระตามเช็ค ๓ ฉบับ เป็นเงิน ๑๘๓,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่จำเลยได้ชำระให้โจทก์เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๖ ตามเอกสารหมาย จ.๑๖ จำนวน ๒๒,๙๐๙ บาท จึงรวมเป็นเงินที่โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้วจำนวน ๒๐๕,๙๐๘ บาท คงเหลือหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คเพียงจำนวน ๙๑,๔๓๙ บาท ซึ่งจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันอันเป็นมูลหนี้เดิมตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคสุดท้าย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันโจทก์ได้สละสิทธิไปแล้วนั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา ฎีกาโจทก์คงฟังขึ้นแต่เพียงบางส่วน
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ แก้ฎีกาว่า นายสมชาย นาสุริยานันท์ ไม่มีอำนาจฟ้องแทนโจทก์ เพราะลายมือชื่อผู้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่ใช่ลายมือชื่อของกรรมการที่มีอำนาจของโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้นเห็นว่า โจทก์มีนายสมชายมาเบิกความประกอบหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.๑ และเอกสารหมาย จ.๒ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่านายสมชาย นำสุริยานันท์ มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้นโจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งได้แนบเอกสารอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามาด้วยตามท้ายฟ้อง เป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้วส่วนปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่นั้น เมื่อโจทก์ฟ้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกัน จึงมีอายุความ ๑๐ ปี โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด ๑๐ ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ และศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เพียงจำนวน ๙๑,๔๓๙ บาท โดยไม่ให้ชำระเต็มตามฟ้อง แม้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ก็ให้คำพิพากษานี้มีผลไปถึงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕(๑) ประกอบมาตรา ๒๔๗
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๙๑,๔๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๖ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share