คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5132/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องระบุหนี้เงินต้นและหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญากู้ 2 ฉบับรวมกันมาและเอกสารท้ายฟ้องก็ไม่ได้แยกหนี้ตามสัญญากู้แต่ละฉบับออกจากกัน จำเลยที่ 5 ผู้ค้ำประกันสัญญากู้ฉบับเดียวย่อมไม่ทราบว่าหนี้ที่ตนต้องรับผิดมีเพียงใด ฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 5 จึงเคลือบคลุม โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เบิกถอนเงินบัญชีเงินฝากกระแสรายวันโดยใช้เช็คเมื่อใด เป็นเงินเท่าใด มีการชำระเงินเข้าบัญชีเมื่อใด คิดดอกเบี้ยในอัตราใดและมิได้แนบบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องมาด้วย เพียงบรรยายว่ายอดหนี้ถึงวันสิ้นสุดบัญชีจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เพียงใด ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เป็นเพียงรายละเอียดซึ่งโจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ หนี้เงินต้นกับหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญาฉบับเดียวกันถือเป็นหนี้รายเดียวกัน หากมีการฟ้องร้องก็ต้องฟ้องรวมกันมา ไม่อาจแยกเป็นหนี้เงินต้นคดีหนึ่งและหนี้ดอกเบี้ยอีกคดีหนึ่งการที่ลูกหนี้ชำระหนี้โดยระบุว่าเป็นการชำระเงินต้นย่อมมีผลให้สิทธิเรียกร้องในหนี้ดอกเบี้ยยังไม่เริ่มนับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 ดอกเบี้ยตามที่โจทก์ฟ้องจึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2526 จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์ไป25,000,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2526จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจากโจทก์ไป 3,000,000 บาท มีจำเลยที่ 2 และที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจากโจทก์ไป9,000,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2532 จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ไป 56,310,000 บาท มีจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ดังกล่าว รวมเงินที่จำเลยที่ 1 กู้โจทก์ไป 93,310,000 บาท นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2526 จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน อันเป็นบัญชีเดินสะพัดไว้กับโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2527 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์เพื่อเบิกเงินเกินบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าว ในวงเงิน 1,000,000 บาท เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ทั้งหมด จำเลยที่ 6 ได้ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ในวงเงินไม่เกิน 103,000,000 บาท หลังจากทำสัญญากู้เงินแล้วจำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทุก ๆ เดือน ตามข้อตกลงในสัญญากู้แต่ละฉบับ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 72,705,949.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของเงินต้น 36,637,834.69 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 56,310,000 บาท ในยอดหนี้ 72,705,949.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงิน 36,252,424.58 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 3,000,000 บาท ในยอดหนี้ 72,705,949.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งหกไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งหกให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หนี้ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องขาดอายุความเนื่องจากเกินกว่า 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ชำระหนี้ให้โจทก์72,540,339.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี จากต้นเงิน72,285,480.15 บาท และ 254,859.17 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14ธันวาคม 2536) และวันที่ 27 มีนาคม 2534 เป็นต้นไปตามลำดับจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันรับผิดในวงเงิน 56,310,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเดียวกันจากต้นเงิน 36,252,424.58 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดต่อในวงเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันจากต้นเงิน 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จหากจำเลยทั้งหกไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 215, 6599, 131302, 131328, 133782, 135967 ตำบลตลาดบางเขน (บางเขน) อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร โฉนดเลขที่ 35458, 157700, 157702 ถึง 157706 ตำบลลาดพร้าว อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร โฉนดเลขที่ 136388, 136389, 136415, 136383 ถึง 136385 ตำบลวังทองหลาง อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งหกคือ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยทั้งหกอ้างเหตุมา 2 ประการ ประการแรกอ้างว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากไม่ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินฉบับ 3,000,000 บาท เท่าใด อย่างไร หรือเงินต้นดอกเบี้ยเท่าใด ทำให้จำเลยไม่สามารถทราบยอดหนี้ได้นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าหลังจากทำสัญญากู้เงินแล้วจำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทุก ๆ เดือนตามข้อตกลงในสัญญากู้แต่ละฉบับทำให้นับถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยค้างชำระตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2526 (สัญญากู้เงินฉบับ 25,000,000 บาท) และฉบับ ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2526 (สัญญากู้เงินฉบับ 3,000,000 บาท) เป็นเงินต้น 1,000 บาท ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2534 จนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2536 เป็นเงิน 12,687,881.92 บาท รวมเป็นเงิน 12,688,881.92 บาท ตามสำเนาทะเบียนเงินกู้ เลขที่ 279/24 ข. ท้ายฟ้อง เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องระบุหนี้เงินต้นและหนี้ดอกเบี้ย ตามสัญญากู้เงิน 2 ฉบับรวมกันมาทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่าหนี้เงินต้นและหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินแต่ละฉบับเป็นจำนวนเท่าใดแม้จะมีเอกสารท้ายฟ้องประกอบ ในเอกสารท้ายฟ้องก็ไม่ได้แยกหนี้ตามสัญญากู้เงินแต่ละฉบับออกจากกันเช่นกัน จำเลยที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 30 สิงหาคม 2526 เท่านั้น เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุว่าหนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 30 สิงหาคม 2526 มีจำนวนเท่าใดย่อมไม่สามารถทราบได้ว่าหนี้เงินต้นและหนี้ดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 5 จะต้องรับผิดมีเพียงใด ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5 จึงเคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 5 ฟังขึ้น
สำหรับข้ออ้างประการที่ 2 จำเลยทั้งหกอ้างว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากไม่ได้บรรยายว่า ในการเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันซึ่งจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คเมื่อใด เป็นเงินเท่าใดมีการชำระเงินเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเมื่อใด ครบกำหนดแล้วมีการหักทอนบัญชีหรือไม่ คงเหลือเงินที่ต้องชำระเท่าใด และมีการคิดดอกเบี้ยในอัตราเท่าใด อย่างไรทั้งมิได้แนบบัญชีกระแสรายวันมาท้ายฟ้องด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2526 จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันอันเป็นบัญชีเดินสะพัดไว้กับโจทก์ ในการเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ตกลงใช้เช็คหรือรูปแบบเอกสารอื่น ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน 2527 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เพื่อเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าวจำเลยที่ 1ได้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์มาตลอด ยอดหนี้ตามบัญชีสิ้นสุดคือวันที่ 26 พฤษภาคม 2536 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 382,054.60 บาท นั้นได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีมาตลอด ยอดหนี้ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2536 อันเป็นวันสิ้นสุดบัญชี จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เพียงใด สำหรับรายการตามที่จำเลยที่ 6 อ้างนั้นเป็นรายละเอียด ซึ่งโจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์ในข้อนี้ไม่เคลือบคลุมฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งหกฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปจำเลยทั้งหกฎีกาว่า ดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องที่เกิน 5 ปี ขาดอายุความหรือไม่ ที่จำเลยทั้งหกอ้างว่า หนี้ดอกเบี้ยกับหนี้เงินต้นต้องแยกออกจากกันจะนำเอาการผ่อนชำระเงินต้นไปมีผลถึงการชำระดอกเบี้ยด้วยไม่ชอบนั้น เห็นว่า หนี้เงินต้นกับหนี้ดอกเบี้ยเป็นหนี้ตามสัญญาฉบับเดียวกันเป็นหนี้รายเดียวกัน หากมีการฟ้องร้องก็ต้องฟ้องร้องรวมกันมาทั้งหนี้เงินต้นและหนี้ดอกเบี้ย ไม่อาจแยกเป็นหนี้เงินต้นคดีหนึ่งและหนี้ดอกเบี้ยอีกคดีหนึ่ง เมื่อลูกหนี้ยังชำระหนี้อยู่ แม้จะระบุว่าชำระหนี้เงินต้นก็ตามหากเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้ และไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด ไม่ได้บอกกล่าวเลิกสัญญาให้จำเลยชำระหนี้ โจทก์ยังไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องในหนี้ดังกล่าวได้ อายุความในหนี้ดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นหนี้เงินต้นหรือหนี้ดอกเบี้ยจึงยังไม่เริ่มนับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 การที่จำเลยชำระเงินต้นย่อมมีผลให้สิทธิเรียกร้องในหนี้ดอกเบี้ยยังไม่เริ่มนับด้วย ดอกเบี้ยทั้งหมดตามฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งหกฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ชำระเงินให้โจทก์ 72,285,480.15 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี จากต้นเงิน 36,252,424.58 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงิน 254,859.17 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 215 และ 6599 ตำบลบางเขน (ดอนเมือง)และตำบลตลาดบางเขน (บางเขน) อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่131302, 131328, 133782, 135967 ตำบลตลาดบางเขน (บางเขน) อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 35458, 157700, 157701 และ 157703 ถึง 157706 ตำบลลาดพร้าว อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 136388,136389, 136415, 136383 ถึง 136385 ตำบลวังทองหลาง อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5

Share