คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ 2 กระทงฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ฐานเบิกความเท็จอีก 2 กระทงฐานแจ้งความเท็จกระทงแรกจำคุก 1 ปี ฐานใช้เอกสารปลอมกับแจ้งความเท็จกระทงหลังให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมจำคุก 2 ปี ฐานเบิกความเท็จจำคุกกระทงละ 3 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 6 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารปลอม กระทงหนึ่ง จำคุก 6 เดือน และจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จกระทงเดียวจำคุก 6 เดือน รวมเป็นจำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 8 เดือน เป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและเบิกความเท็จจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในความผิดฐานแจ้งความเท็จและยังไม่ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทป. เป็นเท็จหรือไม่ แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา การที่จำเลยไปแจ้งความว่าโจทก์ออกเช็คให้แก่จำเลยทั้งที่ความจริงโจทก์ออกเช็คให้แก่ ว. ทำให้จำเลยกลายเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ การแจ้งความดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ การที่จำเลยเบิกความสองครั้งในคดีเดียวกันคือในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณาแม้จะเป็นการเบิกความคนละคราว แต่ก็เป็นการนำสาระสำคัญของข้อความในเรื่องเดียวกัน มูลเหตุเดียวกันมากล่าวอีกครั้งโดยมีเจตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดีเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ โจทก์สำนวนหลังว่าโจทก์ร่วม
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 90, 91, 137, 172, 173, 174, 175, 177, 264 และ 268 กับริบเอกสารปลอม
สำนวนหลังโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 172, 264, 268
สำนวนแรกศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 รวม 2 กระทง ฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 264, 268 ฐานเบิกความเท็จตามมาตรา177 วรรคสอง อีก 2 กระทง ความผิดฐานแจ้งความเท็จกระทงแรก จำคุก1 ปี สำหรับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมนั้น ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมกับความผิดฐานแจ้งความเท็จกระทงหลังเป็นความผิดกรรมเดียว ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอม จำคุก 2 ปี สำหรับความผิดฐานเบิกความเท็จจำคุกกระทงละ 3 ปี รวมโทษจำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 6 ปี ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ให้ริบเอกสารปลอมคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 กระทงหนึ่งจำคุก 6 เดือน และจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง กระทงเดียวจำคุก 6 เดือนรวมเป็นจำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำเลยที่ 1จำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1มีความผิดฐานแจ้งความเท็จรวมสองกระทง ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ฐานเบิกความเท็จอีกสองกระทง ฐานแจ้งความเท็จ กระทงแรกจำคุก 1 ปี ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมกระทงเดียว และฐานใช้เอกสารปลอมกับฐานแจ้งความเท็จกระทงหลังให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมจำคุก 2 ปี ฐานเบิกความเท็จจำคุกกระทงละ3 ปี รวมเป็นโทษจำคุกทั้งหมด 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 6 ปี แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานใช้เอกสารปลอมกระทงหนึ่ง จำคุก 6 เดือน และจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเบิกความเท็จกระทงเดียวจำคุก 6 เดือน รวมเป็นจำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 8 เดือนเป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน5 ปี ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและเบิกความเท็จจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลยที่ 1ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงขัดกับพยานหลักฐานในสำนวนโดยอ้างว่านางวิไลยินยอมให้พิมพ์ลายนิ้วมือลงในหนังสือมอบอำนาจ และพยานโจทก์เบิกความขัดกับพยานหลักฐานที่ตนทำนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังไปแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยชอบ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ 1หรือนางวิไลเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทนั้น โจทก์ไม่นำสืบให้ชัดเจน การที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่านางวิไลมาแลกเงินสดก็ดี หรือให้เช็คก็ดีจึงรับฟังไม่ได้ว่าเป็นความเท็จนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาเป็นประการแรกว่า ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อหาที่จำเลยที่ 1 แจ้งความเท็จต่อร้อยตำรวจโทประสิทธิ์ ปิยะมงคล พนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลวัดรวกนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยที่ 1 แจ้งความต่อร้อยตำรวจโทประสิทธิ์เป็นเท็จหรือไม่ ดังที่โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาปัญหานี้เสียก่อน ฯลฯ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ไปแจ้งความว่าโจทก์ออกเช็คให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งที่ความจริงโจทก์ออกเช็คให้แก่นางวิไลซึ่งหากจำเลยที่ 1 ไม่แจ้งความดังกล่าว จำเลยที่ 1 ก็ไม่เป็นผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ได้ การแจ้งความของจำเลยที่ 1ดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จอีกกระทงหนึ่ง ฯลฯ
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาข้อกฎหมายประการสุดท้ายว่า การที่จำเลยที่ 1 เบิกความเท็จในชั้นไต่สวนมูลฟ้องกับชั้นพิจารณาเป็นความผิดสองกรรมต่างกันนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 เบิกความสองครั้งในคดีเดียวกันคือชั้นไต่สวนมูลฟ้องครั้งหนึ่งกับชั้นพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แม้จะเป็นการเบิกความคนละคราวกัน แต่ก็เป็นเพียงนำสาระสำคัญของข้อความในเรื่องเดียวกัน มูลเหตุอันเดียวกันมากล่าวอีกครั้งหนึ่งตามครรลองของเรื่องโดยมีเจตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดีเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้จำเลยที่ 1หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 ในข้อหานี้ 4 เดือน รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share