คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5129/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องสรุปความว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยได้ยื่นขอเบิกค่ารักษาพยาบาลของ ว. สามีโจทก์ พร้อมแนบหลักฐานภายในเวลาตามระเบียบ แต่จำเลยตัดสิทธิโจทก์ หรือทำให้สิทธิโจทก์ลดลงอ้างว่า การเจ็บป่วยของ ว. สามารถเข้ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล ธ. ซึ่งเป็นสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โจทก์จึงเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2546 และครั้งที่ 13/2546 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 และให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามข้อบังคับ ระเบียบคำสั่งของจำเลย โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ได้ความชัดแจ้งว่า โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเท่าใด อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ โจทก์ก็มิได้บรรยายมาในคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเท่าใด ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้กล่าวแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา กับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในส่วนที่ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2534 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 11,930 บาท เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2545 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเบิกค่ารักษาพยาบาลของนายวิโรจน์สามีโจทก์ต่อกองสวัสดิการของจำเลย ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ครั้งที่ 4/2546 ว่า การเจ็บป่วยของนายวิโรจน์สามารถเข้ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเวชธานีซึ่งเป็นสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โจทก์จึงเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ เนื่องจากขัดต่อระเบียบกองทุนสงเคราะห์ว่าด้วยการรักษาพยาบาล พ.ศ.2526 ข้อ 12 โจทก์อุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2547 โจทก์ได้รับแจ้งผลการพิจารณาว่ายกอุทธรณ์ โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงนำคดีมาฟ้อง ขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2546 และมติที่ประชุมครั้งที่ 13/2546 วาระที่ 7 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ.2503 ได้มอบอำนาจและมอบอำนาจช่วงให้นางอุราวดีดำเนินคดีแทนจำเลย โรงพยาบาลเวชธานีซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิตามประกาศสำนักงานประกันสังคมจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์ และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุว่าจะให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์เท่าใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2546 และมติที่ประชุมครั้งที่ 13/2546 วาระที่ 7 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามระเบียบกองทุนสงเคราะห์ว่าด้วยการรักษาพยาบาล พ.ศ.2526 ให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้แล้วว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่ศาลแรงงานกลางไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้จึงไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวน ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องสรุปความว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยได้ยื่นขอเบิกค่ารักษาพยาบาลของนายวิโรจน์สามีโจทก์ พร้อมแนบหลักฐานภายในเวลาตามระเบียบ แต่จำเลยตัดสิทธิโจทก์ หรือทำให้สิทธิโจทก์ลดลง อ้างว่าการเจ็บป่วยของนายวิโรจน์สามารถเข้ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเวชธานีซึ่งเป็นสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โจทก์จึงเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2546 และครั้งที่ 13/2546 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 และให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามข้อบังคับ ระเบียบคำสั่งของจำเลย โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ได้ความชัดแจ้งว่า โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเท่าใด อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ โจทก์ก็มิได้บรรยายมาในคำขอท้ายฟ้องว่าขอให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเท่าใด ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้กล่าวแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา กับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในส่วนที่ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ประการต่อมาว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ครั้งที่ 4/2546 และครั้งที่ 13/2546 ชอบหรือไม่ และมีเหตุต้องเพิกถอนเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม อุทธรณ์ของจำเลยประการอื่น จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share