คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5127/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิด แต่คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าไม่ได้ทำละเมิด เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเสียแล้ว การวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่ามิได้ทำละเมิดจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลที่สูงกว่าย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 อีกต่อไป และจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จะมีสิทธิฎีกาได้ต่อเมื่อคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิของจำเลยที่ 1 แต่คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หาได้กระทบกระเทือนหรือมีผลทำให้จำเลยที่ 1 อาจได้รับความเสียหายแต่ประการใดไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นละเมิด จึงไม่เป็นสาระแก่คดี ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 49,795,984 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 200 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แต่ไม่รับวินิจฉัย จึงขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีก่อนซึ่งจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ตามคดีหมายเลขดำที่ 593/2556 ของศาลชั้นต้นเป็นการใช้สิทธิฟ้องคดีโดยชอบและโดยสุจริต ไม่เป็นละเมิดดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ว่า คดีก่อนจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิฟ้องเกินส่วน เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ถือว่าเป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิด แต่คดีโจทก์ขาดอายุความ จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ส่วนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์และแก้อุทธรณ์ของโจทก์ว่าการฟ้องคดีก่อนไม่เป็นละเมิด ดังนี้ หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ก็จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการฟ้องคดีก่อนของจำเลยที่ 1 เป็นละเมิดดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเสียแล้ว การวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ว่ามิได้กระทำละเมิดจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี และการที่ศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลที่สูงกว่าพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยว่าการฟ้องคดีก่อนเป็นละเมิดหรือไม่ ย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าการฟ้องคดีก่อนเป็นการกระทำละเมิดไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 อีกต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จะมีสิทธิฎีกาได้ต่อเมื่อคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิของจำเลยที่ 1 แต่คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หาได้กระทบกระเทือนหรือมีผลทำให้จำเลยที่ 1 อาจได้รับความเสียหายแต่ประการใดไม่ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ฟ้องคดีก่อนโดยชอบไม่เป็นละเมิด จึงไม่เป็นสาระแก่คดี เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share