คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5127/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องส.เป็นจำเลยที่ 1 และโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 81/1 จะเข้าไปรื้อบ้านหลังดังกล่าวของจำเลยที่ 2 แต่ส.กับโจทก์ซึ่งเป็นสามีภริยากันขัดขวางขอให้ห้าม ส. และโจทก์ขัดขวางการรื้อบ้านโจทก์ให้การในคดีก่อนว่า จำเลยที่ 2 จะรื้อบ้านเลขที่ 81/3ของโจทก์ และฟ้องแย้งให้จำเลยที่ 2 รื้อบ้านเลขที่ 81/1ของจำเลยที่ 2 ออกไปศาลชั้นต้นพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าหลังจากการบังคับคดีในคดีก่อนแล้ว โจทก์ได้ขอออกเลขที่บ้านใหม่เป็นเลขที่ 81/3 เมื่อ จำเลยที่ 2 ซื้อบ้านตามคำสั่งศาลโดยสุจริตจึงย่อมได้กรรมสิทธิ์ ห้ามส.และโจทก์เกี่ยวข้องหรือขัดขวางในการที่จำเลยที่ 2จะทำการรื้อบ้านเลขที่ 81/1 ซึ่งปัจจุบันได้มีการออกทะเบียนบ้าน ใหม่เป็นเลขที่ 81/3 ฟ้องแย้งของโจทก์ให้ยกเสีย คำพิพากษา ในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 2 ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่งและเมื่อคำพิพากษานั้นวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวว่าเป็นของจำเลยที่ 2 จึงย่อมใช้ยันบุคคลภายนอกคือจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ซื้อบ้านเลขที่ 81/1 ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 81/3 ตามคำสั่งศาลโดยสุจริตย่อมได้กรรมสิทธิ์ เท่ากับศาลมีคำวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้เป็นเจ้าของ บ้านเลขที่ 81/3 การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้โดยยกข้ออ้าง ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า บ้านเลขที่ 81/3 เป็นของโจทก์อีก และจำเลยที่ 2 ก็ให้การว่า บ้านเลขที่ดังกล่าวไม่ใช่ของโจทก์ ในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 81/3 หรือไม่ จึงถือว่า ประเด็นข้อพิพาทนี้ได้วินิจฉัยมาแล้วในคดีก่อน ดังนั้น ข้อวินิจฉัยเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในบ้านเลขที่ 81/3 จึงย่อมผูกพันโจทก์คดีนี้ด้วย แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ ยกเป็นข้อต่อสู้ว่าคำพิพากษาในคดีก่อนผูกพันโจทก์ก็ตาม เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจ ยกข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 81/3 ในคดีก่อนขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(5) มิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำฟ้องและ คำให้การ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 386/2535 ของศาลชั้นต้นได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึดบ้านเลขที่ 81/1 ของนางสนม มุ้ยพลาย จำเลยในคดีดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 กลับนำยึดบ้านเลขที่ 81/3 ของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ใกล้กัน ทั้งที่โจทก์ไม่ได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเคยเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อบ้านเลขที่ 81/1 จากการขายทอดตลาด และเข้าไปรื้อถอนบ้านโจทก์โดยอ้างว่าเป็นบ้านเลขที่ 81/1 แต่โจทก์ได้คัดค้านไม่ให้รื้อถอน จำเลยที่ 2 จึงยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 390/2537 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลพิพากษาห้ามมิให้โจทก์เข้าเกี่ยวข้องและขัดขวาง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้โจทก์ต้องสูญเสียบ้านเลขที่ 81/3 โจทก์ขอเรียกเงินทดแทนค่าปลูกสร้างส่วนหนึ่งเป็นเงิน 350,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 390/2537 เป็นเงิน 150,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหาย 500,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านของนางสนม มุ้ยพลาย โดยสุจริต ทั้งนางสนมไม่ได้โต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 ยึดบ้านผิด โจทก์สร้างหลักฐานขึ้นมาใหม่หลังการขายทอดตลาดว่าบ้านที่จำเลยที่ 1 นำยึดเป็นบ้านเลขที่ 81/3 จำเลยที่ 2 ซื้อบ้านจากการขายทอดตลาดโดยสุจริต จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รื้อถอนบ้าน ความเสียหายจึงยังไม่เกิดขึ้นทั้งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 390/2537 นั้น ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามโจทก์ฎีกาข้อแรกว่าคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 390/2537 ของศาลชั้นต้นมีผลผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หรือไม่ และใช้ยันบุคคลภายนอกคือ จำเลยที่ 1 ได้หรือไม่ปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 390/2537 จำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนางสนม มุ้งหลาย เป็นจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นจำเลยที่ 2โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 2เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 81/1 จำเลยที่ 2 จะเข้าไปรื้อนางสนมกับโจทก์ซึ่งเป็นสามีภริยากันขัดขวาง ขอให้ห้ามนางสนมและโจทก์ขัดขวางโจทก์ให้การในคดีดังกล่าวว่า เหตุที่โจทก์ขัดขวางเพราะจำเลยที่ 2 จะรื้อบ้านเลขที่ 81/3 ซึ่งเป็นของโจทก์ และฟ้องแย้งให้จำเลยที่ 2 รื้อบ้านเลขที่ 81/1 ออกไป ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีถึงที่สุดว่า มีการขอเลขที่บ้านและออกสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.1 วันที่14 พฤษภาคม 2536 ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังการยึดทรัพย์ถึง6 เดือนเศษ แสดงว่าหลังจากการบังคับคดีในคดีก่อนแล้วโจทก์จึงได้ขอออกเลขที่บ้านใหม่เป็นเลขที่ 81/3 เมื่อจำเลยที่ 2ซื้อบ้านตามคำสั่งศาลโดยสุจริตจึงย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 ห้ามนางสนมและโจทก์เกี่ยวข้องหรือขัดขวางในการที่จำเลยที่ 2 จะทำการรื้อบ้านเลขที่ 81/1 (ปัจจุบันได้มีการออกทะเบียนบ้านใหม่เป็นเลขที่ 81/3) ถนนบริรักษ์ ตำบลอุทัยใหม่ อำเภอเมืองอุทัยธานีจังหวัดอุทัยธานี ฟ้องแย้งของโจทก์ให้ยกเสีย ฉะนั้น คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคหนึ่ง และเมื่อคำพิพากษานั้นวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวว่าเป็นของจำเลยที่ 2 จึงย่อมใช้ยันบุคคลภายนอกคือจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2)
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่าคำพิพากษาในคดีดังกล่าวผูกพันโจทก์ ศาลล่างทั้งสองยกขึ้นวินิจฉัยนอกเหนือคำฟ้องและคำให้การนั้น เห็นว่า ในคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ซื้อบ้านเลขที่ 81/1 (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 81/3) ตามคำสั่งศาลโดยสุจริตย่อมได้กรรมสิทธิ์ เท่ากับวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 81/3 เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าบ้านเลขที่ 81/3 เป็นของโจทก์จำเลยที่ 2 ให้การว่า บ้านเลขที่ดังกล่าวไม่ใช่ของโจทก์ในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 81/3 หรือไม่ จึงถือว่าประเด็นข้อพิพาทนี้ได้วินิจฉัยมาแล้วในคดีก่อนข้อวินิจฉัยเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในบ้านเลขที่ 81/3 จึงย่อมผูกพันโจทก์คดีนี้ด้วย แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ว่าคำพิพากษาในคดีก่อนผูกพันโจทก์ก็ตามเพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลล่างทั้งสองมีอำนาจยกข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 81/3ในคดีก่อนขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(5)
พิพากษายืน

Share