คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5124/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สาระสำคัญของการขอถอนฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 175 วรรคสอง(1) อยู่ที่ว่าเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ต้องสอบถามจำเลยก่อนเท่านั้น เมื่อสอบถามจำเลยแล้ว ศาลจะอนุญาตหรือไม่เป็นดุลพินิจโดยศาลต้องคำนึงถึงความสุจริตของโจทก์หรือการเอารัดเอาเปรียบในคดีเป็นสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ขอถอนฟ้องเพราะโจทก์ได้ขายสิทธิการเช่าซื้อให้แก่บริษัท บ. ไปแล้ว ทั้งได้รับอนุมัติจากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินให้ถอนฟ้องคดีนี้ได้ จึงเป็นการเชื่อว่าตนหมดอำนาจในการดำเนินคดีต่อไป ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามปกติที่มีอยู่ มิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แม้จำเลยจะคัดค้านแต่ก็มิได้ให้เหตุผลอย่างใดไว้ ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 ฐ – 4624 กรุงเทพมหานคร กับโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถคืนโจทก์พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะฟ้องผิดศาลและผิดประเภทของรถยนต์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยและค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม แต่เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว คู่สัญญาต้องกลับสู่ฐานะเดิมโดยโจทก์ต้องรับรถคืนไปและคืนเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยให้แก่จำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ระหว่างสืบพยานจำเลยโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้านศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าในกรณีที่โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องภายหลังจากจำเลยยื่นคำให้การแล้วเช่นคดีนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง(1) บัญญัติว่า ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้ แต่ห้ามมิให้ศาลอนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยก่อน สาระสำคัญของบทบัญญัติดังกล่าวจึงอยู่ที่ว่า หากศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ศาลจะต้องสอบถามจำเลยก่อนเท่านั้น เมื่อสอบถามจำเลยแล้วศาลจะอนุญาตหรือไม่เป็นดุลพินิจ โดยศาลจะต้องคำนึงถึงความสุจริตของโจทก์หรือการเอารัดเอาเปรียบในคดีเป็นสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเพราะโจทก์ได้ขายสิทธิการเช่าซื้อให้แก่บริษัทบางกอกแคปปิตอลเวนเจอร์ จำกัดไปแล้ว ทั้งได้รับอนุมัติจากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินให้ทำการถอนฟ้องคดีนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเพราะเชื่อว่าตนเองหมดอำนาจในการดำเนินคดีต่อไป เป็นการใช้สิทธิตามปกติที่มีอยู่ มิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังจำเลยทั้งสองฎีกาแต่ประการใด ในชั้นสอบถามจำเลยเรื่องนี้ จำเลยทั้งสองคัดค้านโดยไม่ได้ให้เหตุผลใด ๆ เลย ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ในคดีนี้ควรขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกบริษัทบางกอกแคปปิตอลเวนเจอร์ จำกัด เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามหลักในเรื่องร้องสอดก็ดี หรือฎีกาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 ก็ดี เป็นข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะมิได้เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิถอนฟ้องของโจทก์ที่มีอยู่แล้วตามกฎหมาย จึงไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง”

พิพากษายืน

Share