คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5122-5123/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็ค 5 ฉบับ โจทก์นำคดีมาแยกฟ้องเป็น 2 สำนวน สำนวนแรก 2 ฉบับ สำนวนที่สองอีก 3 ฉบับ โดยแต่ละสำนวนโจทก์ไม่ได้ขอให้นับโทษจำเลยต่อ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 1 เดือน โดยเรียงกระทงลงโทษ มีผลเสมือนเป็นการนับโทษต่อจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องทั้งสองสำนวน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 5 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า แพมณีฆเณศวร์หรือแพน้องปุ้น โดยนางสาวพัชรนันท์หรือติ๋ม น้องสาวจำเลย และนายประเสริฐ น้องเขยจำเลยได้สั่งซื้อสินค้าประเภทปลาและปลาหมึกหลายครั้งจากโจทก์ซึ่งใช้ชื่อทางการค้าว่า แพต้อหนะ เป็นเงิน 1,650,000 บาท โดยนายประเสริฐสั่งจ่ายเช็คชำระค่าสินค้าแก่โจทก์บางส่วน เป็นจำนวนเงิน 850,000 บาท เมื่อเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และนายประเสริฐหลบหนีไป โจทก์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ นายนิวัฒน์ พี่ชายโจทก์ และนายหมัดไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริง ผู้ใหญ่บ้าน จึงไปบ้านจำเลยทวงถามหนี้จากจำเลย จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาท 5 ฉบับ และเช็คอื่นอีก 6 ฉบับ รวมเป็นเงิน 1,650,000 บาท แก่โจทก์ เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระมีการนำไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท 3 ฉบับ อ้างว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงิน และบัญชีปิดแล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยนำสืบและฎีกาว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้ค่าซื้อปลาและปลาหมึกดังโจทก์ฟ้อง เพราะนางสาวติ๋มน้องสาวจำเลยและนายประเสริฐ น้องเขยจำเลยเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ แต่เช็คที่นายประเสริฐสั่งจ่ายชำระสินค้าบางส่วนเรียกเก็บเงินไม่ได้และนายประเสริฐหลบหนี โจทก์กับพวกจึงมาข่มขู่ให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้แทนนายประเสริฐ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับครอบครัวดำเนินกิจการแพมณีฆเณศวร์ โดยน้องสาวและนายประเสริฐน้องเขยเป็นผู้ดำเนินการติดต่อซื้อสินค้าจากโจทก์มาจำหน่ายต่อให้แก่ลูกค้ารายย่อย ดังนี้ หนี้ค่าสินค้าจำนวน 1,650,000 บาท ที่น้องสาวและน้องเขยของจำเลยสั่งซื้อจากโจทก์จึงเป็นหนี้ที่จำเลยต้องร่วมรับผิดชำระให้แก่โจทก์ ที่จำเลยสั่งจ่ายเช็ค 11 ฉบับ รวมทั้งเช็คพิพาทมอบให้โจทก์จึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่มีอยู่จริง ที่จำเลยอ้างว่าออกเช็คเพราะถูกข่มขู่ โจทก์นำสืบยืนยันว่าในวันดังกล่าวไม่ได้พาชายฉกรรจ์อีกหลายคนมาข่มขู่จำเลยดังจำเลยอ้าง ส่วนจำเลยคงมีเพียงจำเลยเบิกความลอย ๆ เห็นว่า ขณะโจทก์กับพยานโจทก์ทั้งสองไปบ้านจำเลยเป็นเวลาเช้า ภายในบ้านจำเลยมีจำเลย บุตรจำเลย บิดาและน้องสาวของจำเลยอยู่ด้วยในขณะจำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์ แต่จำเลยกลับมิได้อ้างบุคคลดังกล่าวเป็นพยานสนับสนุนข้ออ้างของตน ทั้งไม่นำนายหมัดซึ่งเป็นพยานคนกลางที่พาโจทก์กับพวกมาบ้านจำเลยมาเบิกความ ยิ่งกว่านั้น การที่จำเลยสั่งจ่ายเงินตามเช็คจำนวนมากทั้ง ๆ ที่อ้างว่าตนมิได้เป็นหนี้โจทก์ จำเลยน่าที่จะต้องรีบโทรศัพท์หรือแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีเพราะมีลักษณะเป็นการกระทำความผิดทางอาญา แต่จำเลยกลับเพิกเฉยและไปทำธุระตามปกติ ทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้จักเจ้าพนักงานตำรวจชั้นสัญญาบัตรหลายคนให้ช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำได้ ที่จำเลยอ้างว่าแจ้งความเรื่องถูกข่มขู่เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2546 รุ่งขึ้นจากวันที่ออกเช็คยังไม่อาจรับฟังว่าเป็นจริงดังอ้าง เพราะตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีในสำนวนแรก มีข้อความระบุว่าโจทก์กับพวกมาข่มขู่จำเลยในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งห้าฉบับให้แก่โจทก์เพราะถูกข่มขู่ เมื่อเช็คพิพาทถูกปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะจำเลยมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินและธนาคารปิดบัญชีของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค จึงมีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง จำเลยออกเช็ค 5 ฉบับ โจทก์นำคดีมาแยกฟ้องเป็น 2 สำนวน สำนวนแรก 2 ฉบับ สำนวนที่สองอีก 3 ฉบับ โดยแต่ละสำนวนโจทก์ไม่ได้ขอให้นับโทษจำเลยต่อ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 1 เดือน โดยเรียงกระทงลงโทษถือว่ามีผลเสมือนเป็นการนับโทษต่อซึ่งไม่ชอบ เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยสำนวนแรกรวม 2 เดือน สำนวนที่สองจำคุกรวม 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share