คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5111/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อในสารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินระบุว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกันซึ่งก็ต้องหมายความว่ามีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งเมื่อส่วนของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมยังมีอยู่หนึ่งและป. บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมกันหาได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นไม่ทั้งไม่เคยบอกกล่าวโจทก์ว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่ามิได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าป. หรือจำเลยครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยจึงไม่ได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์เมื่อจำเลยทั้งสองสืบสิทธิของป.บิดาซึ่งมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์จึงต้องฟังว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันเท่ากับโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของรวมในที่ดินในโฉนดเลขที่ 718 เนื้อที่ทั้งหมด 6 ไร่ 3 งาน 60 ตารางวาโดยโจทก์และจำเลยทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ฝ่ายละ 3 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวาเมื่อปี 2534 โจทก์และจำเลยทั้งสองไปขอรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่แต่ละคนครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดินแต่จำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินเป็นเนื้อที่เพียง2 ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลยทั้งสอง ขอให้จำเลยทั้งสองไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินร่วมกับโจทก์เพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 718 ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยแบ่งให้โจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายละครึ่งของเนื้อที่ทั้งหมดให้โจทก์ได้ที่ดินส่วนด้านทิศตะวันตกซึ่งโจทก์ครอบครองและให้จำเลยทั้งสองได้ที่ดินส่วนทิศตะวันออกซึ่งจำเลยทั้งสองครอบครอง ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 718เป็นของนายวัง เชิดชู บิดาโจทก์และนายประยงค์ เชิดชูซึ่งเป็นบิดาจำเลยทั้งสอง นายวังได้แบ่งที่ดินดังกล่าวให้นายประยงค์กับโจทก์ครอบครองเป็นส่วนสัด นายประยงค์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนทางทิศตะวันออก และบางส่วนของที่ดินทางทิศตะวันตกรวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวาไม่ได้ครอบครองฝ่ายละครึ่งของเนื้อที่ทั้งหมด จำเลยทั้งสองครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อจากนายประยงค์โดยการรับมรดกไว้ด้วยความสงบ และเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า10 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 718 เฉพาะส่วนภายในเส้นประตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องหมายเลข 3 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ และห้ามมิให้โจทก์เข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของจำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายวังยกที่ดินให้กับโจทก์และนายประยงค์คนละครึ่ง โดยโจทก์ได้ครอบครองที่ดินส่วนตะวันตกนายประยงค์ครอบครองที่ดินส่วนทิศตะวันตก ซึ่งมีถนนสาธารณประโยชน์คั่นระหว่างที่ดินทั้งสองส่วน นายประยงค์และจำเลยทั้งสองไม่ได้ครอบครองที่พิพาทส่วนทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ตามที่อ้างแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินเฉพาะส่วนเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน63 ตารางวา (หมายเลข 1 ในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ล.9) โฉนดเลขที่ 718 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสอง ห้ามมิให้โจทก์เข้าเกี่ยวข้อง และให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินร่วมกับโจทก์เพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 718 ต่อเจ้าพนักงานที่ดินแบ่งที่ดินให้โจทก์กึ่งหนึ่งโดยให้โจทก์ได้ที่ดินทางด้านทิศตะวันตก ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และนายประยงค์ เชิดชู เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนายประยงค์ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 718 นายวัง เชิดชู บิดาของโจทก์และนายประยงค์ได้จดทะเบียนให้โจทก์และนายประยงค์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดดังกล่าว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2514 ต่อมานายประยงค์ถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินส่วนของนายประยงค์ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2532
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองได้ที่ดินภายใต้เส้นสีเขียวและเส้นสีแดงตามแผนที่วิวาท (หมายเลข 1 ในเอกสารหมาย ล.9)โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อในสารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินแปลงพิพาทระบุว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ซึ่งก็ต้องหมายความว่ามีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งใกล้เคียงกับเจตนาของคู่กรณี และนายวังไม่ได้ยกที่ดินให้แก่นายประยงค์เมื่อปี 2503 ทั้งนายประยงค์ก็ยินยอมไปทำนิติกรรมโดยไม่คัดค้าน ยิ่งกว่านั้นเมื่อนายประยงค์ถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสองไปขอรับโอนมรดก เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2532ก็ระบุว่ารับมรดกเฉพาะส่วนของนายประยงค์เท่านั้น ส่วนของคนอื่นคงเดิม เป็นการยืนยันว่าส่วนของโจทก์ยังมีอยู่ครึ่งหนึ่งจำเลยทั้งสองหาได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นไม่ นายประสงค์และจำเลยทั้งสองไม่เคยบอกกล่าวโจทก์ว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่ามิได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่านายประยงค์หรือจำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยทั้งสองจึงไม่ได้ที่ดินภายใต้เส้นสีเขียวและเส้นสีแดงตามแผนที่วิวาทเป็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อจำเลยทั้งสองสืบสิทธิของนายประยงค์บิดาซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ จึงต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันเท่ากับโจทก์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 718 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share