คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5103/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ข้อ 4 ทวิ ซึ่งกำหนดให้พนักงานที่ทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงใดๆ ซึ่งมีโทษไล่ออก แต่มีเหตุพิจารณาให้ไม่ถึงกับจะต้องถูกไล่ออกหรือมีเหตุอันควรลดหย่อนให้เปลี่ยนโทษจากไล่ออกเป็นปลดออกได้ และกรณีที่พนักงานถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แต่การสอบสวนไม่ปรากฏชัดแจ้งว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาอาจสั่งปลดออกจากงานได้เพราะมีมลทินมัวหมองและอาจเป็นการเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยหากคงทำงานอยู่ต่อไปนั้น ตามข้อ 4 ทวิ วรรคสาม ให้สิทธิเพียงแต่ถือว่ามีคำสั่งปลดออกโดยไม่มีความผิดเพื่อประโยชน์ในการได้รับการสงเคราะห์เมื่อออกจากงานตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 เท่านั้น มิได้มีผลเปลี่ยนแปลงการกระทำของบุคคลแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์เมาสุราหรือเสพสุราในเวลาปฏิบัติงานหน้าที่พนักงานกั้นถนนอันเป็นความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงมีโทษไล่ออกจากงาน แต่จำเลยเห็นว่าโจทก์ให้การรับสารภาพและผู้บังคับบัญชารับรองว่ามีความประพฤติดี จึงลดหย่อนโทษให้หนึ่งระดับเป็นปลดออกจากงานแล้ว การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงซึ่งจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ (ข้อ 46 (3))

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานเป็นพนักงานของจำเลย ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่โจทก์ถูกกล่าวหาว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงเนื่องจากเสพสุรามึนเมาและจำเลยตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน ในระหว่างคณะกรรมการทำงานสอบสวนอยู่นั้น โจทก์มีอายุครบ 60 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2545 ต้องเกษียณอายุ จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อฟังผลการสอบสวน เมื่อคณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จและมีมติว่าโจทก์เมาหรือเสพสุราเมรัยในเวลาปฏิบัติหน้าที่ มีความผิดตามประมวลการลงโทษฯ พ.ศ.2517 ข้อ 1.31 ในทางวินัยถือเป็นความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 3.5 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2537 ข้อ 4 (ฉ) โทษไล่ออกจากงาน แต่ผู้บังคับบัญชารับรองว่าโจทก์เป็นผู้มีความประพฤติดี ขยั่นหมั่นเพียรในหน้าที่การงานอยู่ในเงื่อนไขลดโทษตามประมวลการลงโทษฯ ข้อ 3.1.7 จำเลยจึงลดโทษให้โจทก์ลง 1 ระดับ เป็นปลดออก ซึ่งการลดโทษดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ครั้งเดียว (บำเหน็จ) หรือเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) ตามแต่จะเลือก และการลดโทษนั้นยังทำให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากจำเลยตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2534 อีกด้วย โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยคำนวณจากเงินเดือนอัตราสุดท้ายจำนวน 180 วัน เป็นเงิน 83,040 บาท แล้ว แต่จำเลยปฏิเสธ จำเลยต้องใช้ค่าชดเชยดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องจำนวน 18,393.92 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 101,433.92 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 101,433.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 83,040 บาท นับแต่ถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งพนักงานกั้นถนนสังกัดแขวงงานเดินรถนครราชสีมา ฝ่ายการเดินรถ มีหน้าที่ปิดเปิดเครื่องกั้นถนนเพื่อเกิดความปลอดภัยแก่ยวดยานที่สัญจรบนถนนที่ตัดผ่านทางรถไฟ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 คณะกรรมการการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจของพนักงานของจำเลยตรวจพบว่าโจทก์เสพสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับฉบับที่ 3.5 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2537 ของจำเลยมีโทษถึงไล่ออก จำเลยตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนก็ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่ผู้บังคับบัญชารับรองว่าโจทก์เป็นผู้มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการของจำเลยจึงได้ลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออก แม้โจทก์จะได้รับการลดหย่อนโทษดังกล่าว แต่การกระทำก็ยังคงเป็นการกระทำความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเพราะเหตุเลิกจ้างดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพิจารณา คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า ในขณะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้างจำเลยนั้น จำเลยตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนวินัยโจทก์เนื่องจากโจทก์ถูกกล่าวหาว่าดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่ หลังจากคณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จแล้ว ได้ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่จริงอันเป็นการกระทำความผิดทางวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามระเบียบของจำเลย มีโทษถึงไล่ออก แต่ผู้บังคับบัญชารับรองว่าโจทก์เป็นผู้มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในการทำงาน จำเลยจึงลดโทษให้เหลือเพียงปลดออกและให้ได้รับเงินบำนาญ โจทก์ยื่นขอรับค่าชดเชยแต่จำเลยไม่จ่ายให้เนื่องจากโจทก์กระทำผิดระเบียบฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ศาลมีคำสั่งให้งดสืบพยานเนื่องจากข้อเท็จจริงแห่งคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการเดียวว่า การที่โจทก์ดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่พนักงานกั้นถนนเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยกรณีร้ายแรง ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2534 ข้อ 46 (3) หรือไม่… เห็นว่า ข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ปรับปรุงใหม่) ข้อ 4 ทวิ วรรคหนึ่ง ระบุว่า “การลงโทษปลดออกจะกระทำได้ เมื่อพนักงานผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงแต่ยังไม่ถึงกับจะต้องถูกไล่ออกหรือมีเหตุอันควรลดหย่อน” วรรคสองระบุว่า “เมื่อพนักงานผู้ใดถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และการสอบสวนไม่ได้ความเป็นสัตย์ว่ากระทำผิดที่จะถูกไล่ออก แต่มีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวนนั้น ซึ่งถ้าจะให้คงทำงานอยู่ต่อไปอาจเป็นการเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ก็ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งปลดออกจากงานได้” และวรรคสามระบุว่า “การสั่งปลดออกจากงานตาม ข้อ 4 ทวิ นี้ ให้ถือว่าเป็นกรณีมีคำสั่งปลดออกโดยไม่มีความผิดตามความหมายแห่งข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทย และมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญ” ตามระเบียบ ข้อ 4 ทวิ ดังกล่าวจึงเป็นสองกรณี คือ กรณีตามข้อ 4 ทวิ วรรคหนึ่ง เป็นเรื่องที่พนักงานกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงใดๆ ตามข้อ 4 (ก) ถึง (ฉ) ซึ่งมีโทษไล่ออกเพียงแต่มีเหตุพิจารณาให้ไม่ถึงกับจะต้องถูกไล่ออกหรือมีเหตุอันควรลดหย่อนโทษให้ ผู้มีอำนาจตามข้อ 10 จึงเปลี่ยนโทษจากไล่ออกเป็นลงโทษปลดออกได้ และกรณีตามข้อ 4 ทวิ วรรคสอง เป็นเรื่องที่พนักงานเพียงแต่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อ 4 (ก) ถึง (ฉ) กรณีนี้ผู้บังคับบัญชาอาจสั่งปลดออกจากงานได้เพราะมีมลทินมัวหมองและอาจเป็นการเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยหากคงทำงานอยู่ต่อไป ซึ่งทั้งสองกรณีดังกล่าวตามข้อ 4 ทวิ วรรคสาม ให้สิทธิเพียงแต่ถือว่ามีคำสั่งปลดออกโดยไม่มีความผิดเพื่อประโยชน์ในการได้รับการสงเคราะห์เมื่อออกจากงานตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 กองทุนผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยและเงินบำเหน็จบำนาญเท่านั้น มิได้มีผลเปลี่ยนแปลงการกระทำของบุคคลแต่อย่างใด ตามข้อเท็จจริงซึ่งยุติในชั้นพิจารณาคดีของศาลแรงงานกลางซึ่งปรากฎตามบันทึกรายงานการประชุมผู้อำนวยการฝ่ายและหัวหน้าสำนักงาน (ด้านการปกครอง) ครั้งที่ 1/2547 ระบุผลการสอบสวนและพิจารณากรณีโจทก์ถูกกล่าวหาว่าเมาหรือเสพสุราเมรัยในขณะปฏิบัติหน้าที่ว่า เมื่อต้นเดือนเมษายน 2545 ได้ตรวจพบว่าโจทก์ขณะปฏิบัติหน้าที่พนักงานกั้นถนนสถานีโนนพะยอม มีระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกณฑ์การตัดสินระดับแอลกอฮอล์ตามคำสั่งทั่วไปที่ ก.55/1015 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2543 ให้ถือว่าเมา ฝ่านการเดินรถจึงได้มีคำสั่งที่ พ.1/นท.1/3234/2545 ลงวันที่ 9 กันยายน 2545 ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าตำแหน่งของโจทก์เป็นตำแหน่งเกี่ยวกับการเดินรถ การเมาหรือเสพสุราเมรัยในเวลาปฏิบัติงานเป็นความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับฉบับที่ 3.5 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2537 ข้อ 4 (ฉ) โทษไล่ออกจากงาน แต่เห็นว่าโจทก์ให้การรับสารภาพและผู้บังคับบัญชารับรองว่ามีความประพฤติดีจึงลดหย่อนโทษให้หนึ่งระดับเป็นปลดออกจากงาน แล้วมีความเห็นเพิ่มเติมว่าเมื่อพิจารณาจากคุณวุฒิ วัยวุฒิ ตำแหน่งหน้าที่ ลักษณะการทำงานและสภาพแวดล้อมของสังคมชนบทห่างไกลประกอบกับความเสียหายที่จำเลยจะได้รับแล้ว มีพฤติการณ์พิเศษสมควรได้รับความปรานีให้ลดโทษลงไปกว่าปกติเหลือเป็นลดขั้นเงินเดือน แต่สำนักอาณาบาลเห็นว่าไม่มีเหตุผลพิเศษที่จะลดโทษเป็นลดขั้นเงินเดือน ฝ่ายการเดินรถเห็นว่าควรลดหย่อนโทษให้หนึ่งระดับจากไล่ออกเป็นปลดออก ซึ่งที่ประชุมผู้อำนวยการฝ่ายและหัวหน้าสำนักงาน (ด้านการปกครอง) เห็นว่าโจทก์มีผู้บังคับบัญชารับรองว่าเป็นผู้มีความประพฤติดี ขยันเพียรในหน้าที่การงาน ลดโทษลงหนึ่งระดับ จากโทษไล่ออกเป็นปลดออก ต่อมาจำเลยมีคำสั่งเฉพาะที่ พ.1/นท.1/701/2547 เรื่องยกเลิกคำสั่งให้นายวิเชียร เขียนสันเทียะ (โจทก์) พ.กั้นถนนฯ (พ.การเดินรถ 2) สถานี พอ. ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณา และปลดออกจากงานฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ระบุว่าโจทก์ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามขัอบังคับฉบับที่ 3.5 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2537 ข้อ 4 (ฉ) โทษไล่ออกจากงานผู้บังคับบัญชารับรองว่ามีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การทำงาน อยู่ในเงื่อนไขการลดหย่อนโทษตามประมวลการลงโทษฯ พ.ศ.2517 ข้อ 3.1.7 ลง 1 ระดับเป็นปลดออก ดังนั้นการลงโทษโจทก์จึงเนื่องมาจากโจทก์กระทำผิดร้ายแรงตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ปรับปรุงใหม่) ข้อ 4 (ฉ) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งมีโทษไล่ออกเพียงแต่มีเหตุลดหย่อนโทษถึงเปลี่ยนโทษเป็นปลดออกตาม ข้อ 4 ทวิ วรรคหนึ่ง การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงซึ่งจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2534 ข้อ 46 (3) ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share