คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5103/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอทางผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง มุ่งพิจารณาถึงสภาพของที่ดินนั้นจะต้องถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะเป็นสำคัญ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจึงมีสิทธิจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยมิได้กำหนดเงื่อนไขว่าผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมจะต้องได้ที่ดินมาโดยสุจริต กล่าวคือ ต้องไม่รู้ว่าที่ดินที่ตนได้มาถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะมาก่อน หากรู้มาก่อนถือว่าไม่สุจริตไม่มีสิทธิผ่านที่ดินแปลงที่ล้อมออกสู่ทางสาธารณะได้แต่อย่างใด ดังนั้นแม้โจทก์จะซื้อที่ดินมาโดยรู้อยู่แล้วว่ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ออกสู่ทางสาธารณะหมดไป เพราะสิทธิของโจทก์ดังกล่าวเป็นสิทธิที่กฎหมายบัญญัติให้ไว้ ซึ่งหากจำเลยได้รับความเสียหายจากการเปิดทางจำเป็นดังกล่าว จำเลยก็มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนเป็นค่าเสียหายได้ ตามมาตรา 1349 วรรคสี่
มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติว่าเจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจะต้องขอผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ทางสาธารณะมากที่สุดเท่านั้น เจ้าของที่ดินซึ่งถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจะขอผ่านที่ดินที่ล้อมแปลงใดก็ได้ เพียงแต่การที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมนั้นต้องเลือกให้พอสมควรแก่ความจำเป็น กับต้องคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ตามมาตรา 1349 วรรคสาม เมื่อปรากฏว่าที่ดินของจำเลยที่ล้อมที่ดินของโจทก์อยู่มีสภาพเป็นทางซึ่งใช้ออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว จึงเป็นทางจำเป็นที่สะดวกที่สุดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุด
แม้ทางจำเลยที่โจทก์ขอผ่านจะเป็นถนนซึ่งเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรได้จัดให้มีขึ้น และตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร แม้มีกฎหมายซึ่งใช้บังคับในขณะนั้นบัญญัติห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินแล้วทำนิติกรรมกับบุคคลใดอันก่อให้เกิดภาระแก่ที่ดินนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามนัยแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18, 30 วรรคแรก และ 32 ก็ตาม แต่เมื่อถนนดังกล่าวตกอยู่ภายใต้สิทธิเรียกร้องที่โจทก์จะขอเปิดทางจำเป็นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมาย มิใช่เป็นเรื่องที่ผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระแก่ที่ดินที่ตกเป็นสาธารณูปโภค จึงหาขัดต่อประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงของผู้อื่นปิดล้อมทั้งสี่ด้านไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โดยทางที่โจทก์จะผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ออกสู่ทางสาธารณะอันจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุดคือผ่านที่ดินของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็นโฉนดเลขที่ 47798, 302 และ 295 โดยจดทะเบียนทางจำเป็นให้แก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 32038 หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาโดยทราบเป็นอย่างดีว่าตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่นไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ หากสามารถจะขอทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยได้ ถือว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องโดยใช้สิทธิไม่สุจริต ที่ดินของจำเลยทั้งสามแปลงที่โจทก์ขอให้เปิดเป็นทางจำเป็นนั้นเป็นสาธารณูปโภคของหมู่บ้านสุขนทีวิลล่า ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18 ที่บัญญัติว่า “เมื่อได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการแล้ว ห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมกับบุคคลใดอันก่อให้เกิดภาระแก่ที่ดินนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการ” ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องให้เปิดทางจำเป็น จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในที่ดินโฉนดเลขที่ 47798, 302 และ 295 ให้แก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 32039 คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเปิดทางจำเป็นให้แก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 32038 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ ในปัญหานี้ ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้” เห็นว่า การขอทางผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะนั้น กฎหมายบัญญัติให้มุ่งพิจารณาถึงสภาพของที่ดินนั้นจะต้องถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะเป็นสำคัญ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจึงมีสิทธิจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยมิได้กำหนดเงื่อนไขว่าผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมจะต้องได้ที่ดินมาโดยสุจริต กล่าวคือ ต้องไม่รู้ว่าที่ดินที่ตนได้มาถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะมาก่อน หากรู้มาก่อนถือว่าไม่สุจริตไม่มีสิทธิผ่านที่ดินแปลงที่ล้อมออกสู่ทางสาธารณะได้แต่อย่างใด ดังนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ซื้อที่ดินแปลงที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมมาโดยรู้อยู่แล้วว่ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ตามที่จำเลยฎีกาก็ตาม ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ออกสู่ทางสาธารณะหมดไป เพราะสิทธิของโจทก์ดังกล่าวเป็นสิทธิที่กฎหมายบัญญัติให้ไว้ เมื่อที่ดินของจำเลยเป็นที่ดินที่ล้อมที่ดินของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณะสายลาดปลาเค้า – รามอินทรา ได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว หากจำเลยได้รับความเสียหายจากการเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลย จำเลยก็มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนเป็นค่าเสียหายได้ ตามมาตรา 1349 วรรคสี่ การใช้สิทธิของโจทก์ตามกฎหมายดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ที่ดินที่ล้อมที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือมีสภาพเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ามิใช่ที่ดินมีบ้านพักอาศัยและมีทางออกสู่ทางสาธารณะทางหมู่บ้านมณีนิลซึ่งมีระยะทางประมาณ 250 เมตร แต่ทางที่โจทก์ขอเปิดทางผ่านที่ดินของจำเลยสู่ถนนสาธารณะลาดปลาเค้า – รามอินทรา มีระยะทางประมาณ 450 เมตร จึงมิใช่ทางที่สะดวกที่สุดดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เห็นว่า ตามมาตรา 1349 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติว่าเจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจะต้องขอผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ซึ่งอยู่ใกล้ทางสาธารณะมากที่สุดเท่านั้น จึงแสดงให้เห็นว่าเจ้าของที่ดินซึ่งถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจะขอผ่านที่ดินที่ล้อมแปลงใดก็ได้ เพียงแต่การที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมนั้น มาตรา 1349 วรรคสาม บัญญัติว่า “ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอสมควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินของจำเลยที่ล้อมที่ดินของโจทก์อยู่คือที่ดินโฉนดเลขที่ 47798 มีเนื้อที่เพียง 5 ตารางวา มีรูปลักษณะเป็นสามเหลี่ยมชายธงซึ่งใช้ประโยชน์เพียงเป็นทางเข้าหมู่บ้านสุขนทีวิลล่า และที่ดินแปลงนี้เชื่อมกับที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 302 และ 295 ที่มีสภาพเป็นถนนเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านสุขนทีวิลล่าออกสู่ทางสาธารณะถนนสายลาดปลาเค้า – รามอินทราอยู่แล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องทำทางผ่านให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินจำเลย และจำเลยก็มิได้มีความเสียหายอย่างไรในการที่โจทก์จะใช้เป็นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะเพราะที่ดินทั้งสามแปลงของจำเลยดังกล่าวมีสภาพเป็นทางซึ่งใช้ออกสู่ทางสาธารณะถนนสายลาดปลาเค้า – รามอินทราอยู่แล้ว จึงเห็นได้ชัดแจ้งว่าที่ดินของจำเลยทั้งสามแปลงที่โจทก์ขอผ่านเป็นทางจำเป็นทางที่สะดวกที่สุดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุด การที่โจทก์ขอใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยเพื่อออกสู่ทางสาธารณะถนนสายลาดปลาเค้า – รามอินทรา จึงมีเหตุผล เพราะจำเลยก็ยอมรับว่าการผ่านที่ดินที่ล้อมที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือจะออกสู่ทางสาธารณะนั้น นอกจากที่ดินดังกล่าวไม่มีสภาพเป็นทางแล้วยังมีหญ้าและต้นไม้ปกคลุมและต้องผ่านที่ดินอีกหลายแปลง อีกทั้งจะต้องปรับปรุงที่ดินเพื่อให้มีสภาพเป็นทางเข้าออกได้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ทางสาธารณะ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า การที่โจทก์ใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยเป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นหรือไม่ เห็นว่า แม้ทางจำเป็นที่โจทก์ขอผ่านจะเป็นถนนซึ่งเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรได้จัดให้มีขึ้นและตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรซึ่งมีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินแล้ว ทำนิติกรรมกับบุคคลใดอันก่อให้เกิดภาระแก่ที่ดินนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามนัยแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18, 30 วรรคแรก และ 32 ก็ตาม แต่เมื่อถนนดังกล่าวตกอยู่ภายใต้สิทธิเรียกร้องที่โจทก์จะขอเปิดทางจำเป็นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมาย มิใช่เป็นเรื่องที่ผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระแก่ที่ดินที่ตกเป็นสาธารณูปโภค จึงหาขัดต่อประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18 ตามที่จำเลยฎีกาไม่ และหากการที่จำเลยเปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ดังกล่าวทำให้จำเลยต้องเสียหายดังที่จำเลยอ้าง จำเลยย่อมมีสิทธิเรียกค่าทดแทนเป็นค่าเสียหายจากโจทก์ได้ ข้ออ้างของจำเลยในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share