คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 51/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การพยานในชั้นสอบสวนจะรับฟังดังคำพยานที่เบิกความต่อศาลไม่ได้
พยานบอกเล่ากฎหมายไม่รับฟังเป็นพยานหลักฐานถ้าหากพยานได้รับคำบอกเล่าจากประจักษ์พยานเองก็อาจรับฟังประกอบหรือไม่ประกอบคำประจักษ์พยานนั้นได้แล้วแต่เหตุผล
การที่มีผู้อื่นมานั่งฟังการสอบสวนของเจ้าพนักงานสอบสวนโดยไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานกระทำผิดหน้าที่อย่างใด หาทำให้การสอบสวนเสียไปไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงพลทหารออด คุ้มรอด ตายโดยเจตนาขอให้ลงโทษ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลทหารกรุงเทพฯ ฟังว่าจำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายขณะผู้ตายวิ่งหนีจำเลยจะใช้วิธีอื่นป้องกันมิให้หลบหนีก็ได้นับว่าจำเลยทำเกินสมควรพิพากษาว่าจำเลยผิด กฎหมายอาญา มาตรา 249 แต่การกระทำของจำเลยต้องตามกฎหมายอาญา มาตรา 52 จึงลดโทษให้ตาม มาตรา 53 คงจำคุก 5 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลทหารกลางพิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อ กฎหมายในฎีกาจำเลยแล้วเห็นว่า

1. คำให้การพยานโจทก์ในชั้นสอบสวนจะรับฟังดังคำพยานที่เบิกความต่อศาลไม่ได้ แต่อาจฟังว่าพยานได้เคยให้ถ้อยคำไว้ต่อเจ้าพนักงานตามคำให้การนั้น สำหรับในคดีนี้ศาลฎีกาไม่ถือว่าคำให้การของพลทหารผล สังขประเสริฐเป็นคำพยานในศาล

2. คำพยานบอกเล่า ก.ม.ไม่รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ถ้าพยานผู้นั้นได้รับคำบอกเล่าจากประจักษ์พยานก็อาจรับฟังประกอบหรือไม่ประกอบคำประจักษ์พยานนั้นได้แล้ว แต่เหตุผล

3. การที่มีผู้อื่นมานั่งฟังการสอบสวน โดยไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำผิดหน้าที่อย่างใดนั้นหาทำให้การสอบสวนเสียไปไม่

ส่วนที่จำเลยว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาต่างกับที่กล่าวในฟ้องก็ดี และศาลทหารกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนจากคำพยานในสำนวนก็ดี ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วไม่ปรากฏว่าเป็นอย่างที่จำเลยอ้าง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน

Share