แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
บันทึกเปรียบเทียบของนายอำเภอมีข้อความว่า จำเลยเผาป่าทำให้ไฟลุกลามไหม้สวนยางพาราของโจทก์ ยางพาราเสียหาย 1,211 ต้นโจทก์คิดค่าเสียหาย 250,000 บาท จำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามจำนวนดังกล่าวภายใน 70 วัน และจำเลยลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ถือเป็นข้อตกลงที่โจทก์และจำเลยระงับข้อพิพาทเรื่องไฟไหม้สวนยางพาราของโจทก์ซึ่งมีอยู่แล้วให้เสร็จไปจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยแม้ต่อมาจะปรากฏว่าคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอให้รับฟังได้ว่าจำเลยจุดไฟเผาหญ้าโดยประมาทเป็นเหตุให้ไฟไหม้สวนยางพาราของโจทก์ และคดีถึงที่สุดแล้วก็ตามโจทก์จำเลยก็ยังคงต้องผูกพันกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสวนยางพาราจำนวน 250 ไร่มีอาณาเขตติดต่อกับสวนของจำเลยจำเลยเผาป่าในสวนของจำเลยเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหายจำนวน 1,211 ต้นคิดเป็นเงิน 363,300 บาท ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ณ ที่ว่าการอำเภอพุนพิน โดยจำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 250,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 70 วันนับแต่วันทำสัญญาดังกล่าว แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินตามสัญญาขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 251,354 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 250,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเผาป่าอันเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไปไหม้สวนยางพาราของโจทก์ และไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ว่าจะชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 250,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน2527 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องคิดให้ไม่เกิน1,354 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยนำพยานเข้าสืบฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย และในเรื่องนี้จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 380/2528 หมายเลขแดงที่ 1613/2528 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามบันทึกสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.3ไม่ได้ เพราะเป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยปราศจากมูลหนี้อันแท้จริงนั้นศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวเป็นยุติว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอให้รับฟังได้ว่าจำเลยจุดไฟเผาหญ้าโดยประมาทเป็นเหตุให้ไฟลามไหม้สวนยางพาราของโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่การที่จำเลยยอมตกลงตามบันทึกเปรียบเทียบของนายอำเภอพุนพินเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม2527 ว่า จำเลยเผาป่าทำให้ไฟลุกลามไหม้สวนยางพาราของโจทก์ยางพาราเสียหาย 1,211 ต้น โจทก์คิดค่าเสียหาย 250,000 บาทจำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามจำนวนดังกล่าวภายใน70 วัน นับแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2527 เป็นต้นไป และจำเลยลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานตามภาพถ่ายบันทึกเปรียบเทียบของนายอำเภอพุนพินเอกสารหมาย จ.3 บันทึกสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.3ดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงที่โจทก์และจำเลยระงับข้อพิพาทเรื่องไฟไหม้สวนยางพาราของโจทก์ซึ่งมีอยู่แล้วให้เสร็จไป จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความโดยชอบด้วยกฎหมายที่จำเลยทำด้วยความสมัครใจโจทก์และจำเลยย่อมต้องผูกพันกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว”
พิพากษายืน