คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำแปลหนังสือยืนยันความตกลงด้วยวาจาระหว่างหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยกับหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายฝรั่งเศสณกรุงวอชิงตันประเทศสหรัฐอเมริกา ลงวันที่17พฤศจิกายนค.ศ.1946(พ.ศ.2489)ระบุไว้ในข้อ1ว่า”พลเมืองซึ่งได้สัญชาติไทยโดยอาศัยอนุสัญญาฉบับลงวันที่9พฤษภาคมค.ศ.1941จะได้กลับคืนสู่สัญชาติเดิมของเขาทีเดียวในทันที่ที่การโอนอาณาเขตดังกล่าวข้างต้นเสร็จสิ้นลงพลเมืองซึ่งมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือซึ่งได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมายคงรักษาสัญชาตินี้ไว้”ความตกลงนี้ไม่มีข้อกำหนดให้บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาดังกล่าวคงมีสัญชาติไทยอยู่ต่อไปหากเดินทางออกจากแขวงจำปาศักดิ์เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการถาวรดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมายจึงกลับคืนสู่สัญชาติเดิมของโจทก์ในทันทีที่การโอนอาณาเขตจังหวัดนครจำปาศักดิ์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสเสร็จสิ้นลงโจทก์จึงไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยอีกต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นบุคคลสัญชาติไทย ให้จำเลยที่ 2 ถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้าน (ท.ร.13) เลขที่ 81, 83ถนนสรรพสิทธิ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานี
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าวและมิได้เกิดในราชอาณาจักรไทย จึงไม่ได้สัญชาติไทย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าโจทก์เกิดเมื่อ พ.ศ. 2471 ที่แขวงจำปาศักดิ์ อินโดจีน-ฝรั่งเศส เมื่อพ.ศ. 2484 แขวงจำปาศักดิ์ถูกผนวกเข้าเป็นดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นจังหวัดนครจำปาศักดิ์ ขณะนั้นโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนครจำปาศักดิ์จึงได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญา ฉบับวันที่ 9พฤษภาคม ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2489 ประเทศไทยได้โอนจังหวัดนครจำปาศักดิ์ให้เป็นอาณาเขตของอินโดจีน ฝรั่งเศสพิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า บุคคลที่จะต้องเสียสัญชาติไทยไปตามความตกลงด้วยวาจาระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศสที่กระทำกัน ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ลงวันที่17 พฤศจิกายน 2489 คือบุคคลที่ประสงค์จะมีภูมิลำเนาอยู่ในแขวงจำปาศักดิ์ต่อไป ถ้าบุคคลผู้มีสัญชาติไทยคนใดแม้เคยมีสัญชาติฝรั่งเศสมาก่อนประสงค์จะคงสัญชาติไทยไว้ จะต้องเดินทางออกจากแขวงจำปาศักดิ์เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการถาวร โจทก์ย้ายภูมิลำเนาเข้ามาอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่ พ.ศ. 2487 แม้แขวงจำปาศักดิ์จะถูกผนวกกลับคืนเป็นของอินโดจีน ฝรั่งเศสอีกก็ตามก็หาทำให้โจทก์เสียสัญชาติไทยไปไม่นั้น เห็นว่า คำแปลหนังสือยืนยันความตกลงด้วยวาจาระหว่างหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยกับหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายฝรั่งเศส ณกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 17 พฤศจิกายนค.ศ. 1946 (พ.ศ. 2489) ระบุไว้ในข้อ 1 ว่า “พลเมืองซึ่งได้สัญชาติไทยโดยอาศัยอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1941จะได้กลับคืนสู่สัญชาติเดิมของเขาทีเดียวในทันทีที่การโอนอาณาเขตดังกล่าวข้างต้นเสร็จสิ้นลง พลเมืองซึ่งมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือซึ่งได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมายคงรักษาสัญชาตินี้ไว้” ความตกลงดังกล่าวไม่มีข้อกำหนดให้บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) คงมีสัญชาติไทยอยู่ต่อไปหากเดินทางออกจากแขวงจำปาศักดิ์ เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการถาวรดังที่โจทก์ฎีกา ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาฉบับวันที่ 9 พฤษภาคมค.ศ.1941 (พ.ศ. 2484) ไม่ใช่บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมาย จึงกลับคืนสู่ชาติเดิมของโจทก์ในทันทีที่ การโอนอาณาเขตจังหวัดนครจำปาศักดิ์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสเสร็จสิ้นลง โจทก์จึงไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยอีกต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share