แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เหตุผลที่ผู้คัดค้านยกขึ้นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นสรุปได้ว่า อนุญาโตตุลาการมิได้วินิจฉัยชี้ขาดไปตามข้อเท็จจริงและสัญญา ไม่หยิบยกพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านเห็นว่าสำคัญขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับเนื้อหาแห่งคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการทั้งสิ้น การที่อนุญาโตตุลาการจะหยิบยกพยานหลักฐานใดขึ้นวินิจฉัยภายในขอบเขตของกฎหมายและสัญญาที่พิพาทกัน ย่อมเป็นสิทธิที่จะกระทำได้ ที่ผู้คัดค้านอ้างว่าอนุญาโตตุลาการกระทำการโดยไม่สุจริต ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใด ๆว่าอนุญาโตตุลาการกระทำการโดยไม่สุจริตอย่างไร อุทธรณ์ของผู้คัดค้านจึงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาตรา 26 แม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไว้พิจารณาแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนความแล้วเห็นว่า คดีของผู้คัดค้านต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกอุทธรณ์นั้นโดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นแห่งอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 242(1) ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้อง
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า การประปานครหลวงได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้ร้องทำการวางท่อประปาในทางหลวงสายถนนลาดพร้าว – บางกะปิ ค่าจ้างทั้งสิ้น 42,276,986 บาท ระหว่างการปฏิบัติงาน เกิดเหตุน้ำท่วมขังซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย และผู้ร้องต้องทำงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากแบบแปลนที่แสดงไว้ไม่ชัดเจน ไม่ครบถ้วน ผู้ร้องต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมผิดจราจร และคันหินของเกาะกลางถนน จึงเกิดการโต้แย้งกันขึ้นผู้ร้องได้แจ้งความประสงค์ไปยังการประปานครหลวงเพื่อขอให้ระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการ ตามเงื่อนไขของสัญญา ผู้ร้องและการประปานครหลวงจึงได้ตกลงตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นฝ่ายละ 1 คนอนุญาโตตุลาการทำการพิจารณาไต่สวนในประเด็นของคู่กรณีตามสัญญา และมีคำชี้ขาดเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2530 สั่งให้การประปานครหลวงขยายอายุสัญญาให้ผู้ร้องตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน2528 จนถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2528 โดยไม่ให้มีการปรับตามสัญญาให้การประปานครหลวงจ่ายเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายและชำระค่าเสียหายออกแบบไม่ชัดเจน และครบถ้วนเป็นการเพิ่มค่าแรงและค่าวัสดุนอกเหนือจากสัญญา ค่าเสียหายในการซ่อมถนนชั่วคราว และค่าเสียหายซ่อมถนนถาวรรวมเป็นเงิน 33,824,321.78 บาท พร้อมดอกเบี้ย การประปานครหลวงได้ทราบคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้ว แต่มีหนังสือปฏิเสธไม่ยอมชำระเงินให้ผู้ร้อง ขอศาลพิพากษาเพื่อบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว
การประปานครหลวงยื่นคำคัดค้านว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นคำชี้ขาดที่มิได้อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการ คือ ตามที่ได้ชี้ขาดให้ผู้คัดค้านขยายอายุสัญญาให้ผู้ร้อง นั้นตามสัญญาไว้กำหนดไว้ว่า การต่อสัญญาจะทำได้เฉพาะกรณีผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น สำหรับเหตุผิดสัญญานั้นผู้คัดค้านมีข้อโต้แย้งว่ามิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาส่วนเหตุสุดวิสัยนั้นอนุญาโตตุลาการยังมิได้หยิบยกเหตุใดขึ้นกล่าวอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และที่อนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ผู้คัดค้านจ่ายเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายพร้อมดอกเบี้ยนั้น ตามสัญญาได้มีการตกลงเรื่องการจ่ายสินจ้างเป็นอย่างอื่น ซึ่งแตกต่างจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 602 ที่อนุญาโตตุลาการยกขึ้นวินิจฉัย ดังนั้นผู้คัดค้านจึงไม่ต้องจ่ายเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายพร้อมดอกเบี้ยดังกล่าว และที่อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระค่าเสียหายที่ออกแบบไม่ชัดเจน และครบถ้วนเป็นการเพิ่มค่าแรงและค่าวัสดุนอกเหนือจากสัญญาตามสัญญาได้ระบุในเรื่องความรับผิดชอบของผู้ร้องในการพิจารณาปัญหาอุปสรรคที่ไม่ได้คาดเห็นมาก่อนว่าผู้คัดค้านจะไม่รับประกันในข้อมูลใด ๆ ของเอกสารสัญญาทั้งสิ้น และผู้ร้องจะต้องใช้ข้อมูลดังกล่าวโดยความรับผิดชอบของผู้ร้องเอง กรณีจึงไม่มีมูลหนี้ใด ๆ ที่ผู้ร้องจะยกขึ้นอ้างเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายได้ และที่อนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระค่าเสียหายในการซ่อมถนนชั่วคราว ค่าเสียหายในการซ่อมถนนถาวรพร้อมดอกเบี้ยโดยอ้างว่าตามเงื่อนไขสัญญาระบุว่าผู้ร้องไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการออกแบบแปลนที่ผิดพลาดนั้น ข้อสัญญาดังกล่าวหมายถึง กรณีเกิดความเสียหายแก่งานจ้าง คือการก่อสร้างวางท่อประปามิใช่ก่อสร้างถนนลาดพร้าว ดังนั้นอนุญาโตตุลาการจึงไม่อาจอ้างสัญญาข้อนี้เพื่อให้ผู้คัดค้านต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้อง คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเกิดจากการกระทำและวิธีการอันมิชอบโดยได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทก่อนที่ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอขอให้ชี้ขาด นอกจากนี้ยังให้ผู้ร้องนำพยานบุคคลไปให้ถ้อยคำก่อนที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้อง ทำให้ผู้ร้องยื่นคำร้องตามประเด็นข้อพิพาทที่อนุญาโตตุลาการกำหนดไว้ก่อนเป็นการไม่ยุติธรรมแก่ผู้คัดค้านทั้งอนุญาโตตุลาการรับฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากพยานหลักฐานที่คู่กรณีนำสืบขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการฉบับลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2530
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่อ้างว่าอนุญาโตตุลาการกระทำการและทำคำชี้ขาดโดยไม่สุจริต เป็นการโต้แย้งในเนื้อหาแห่งคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าอนุญาโตตุลาการ ดำเนินกระบวนพิจารณาและทำคำชี้ขาดโดยไม่สุจริต เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้วจึงต้องห้ามอุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530มาตรา 26 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ผู้คัดค้านฎีกาว่า คดีของผู้คัดค้านไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมายเพราะอนุญาโตตุลาการมิได้กระทำการโดยสุจริต และศาลพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการฝ่าฝืนบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยอ้างเหตุผลรวม 3 ประการ ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุผลที่ผู้คัดค้านยกขึ้นกล่าวอ้างทั้งหมดเป็นการโต้แย้งอ้างว่า อนุญาโตตุลาการมิได้วินิจฉัยชี้ขาดไปตามข้อเท็จจริงและข้อสัญญา ไม่หยิบยกพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านเห็นว่าสำคัญขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับเนื้อหาแห่งคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการทั้งสิ้น การที่อนุญาโตตุลาการจะหยิบยกพยานหลักฐานใดขึ้นวินิจฉัยภายในขอบเขตของกฎหมายและสัญญาที่พิพาทกัน ย่อมเป็นสิทธิที่กระทำได้ ที่ผู้คัดค้านอ้างว่า อนุญาโตตุลาการกระทำการโดยไม่สุจริตก็ไม่ปรากฎพยานหลักฐานใด ๆ ว่า อนุญาโตตุลาการกระทำการโดยไม่สุจริตอย่างใดการที่อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดไม่ตรงกับความเห็นของผู้คัดค้านแล้วจะถือว่ากระทำการโดยไม่สุจริต หาได้ไม่ ที่ผู้คัดค้านอ้างว่าอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นการพิจารณาก่อนที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดและอนุญาโตตุลาการไต่สวนพยานก่อนที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านยื่นคำร้องและคำคัดค้านเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดขั้นตอน เป็นการไม่สุจริตก็เห็นว่าอนุญาโตตุลาการได้เริ่มประชุม กำหนดประเด็นการพิจารณาหลังจากผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงตั้งอนุญาโตตุลาการ และได้เสนอชื่ออนุญาโตตุลาการของแต่ละฝ่ายและผู้ร้องได้มีหนังสือแจ้งให้อนุญาโตตุลาการทั้งสองฝ่ายทราบแล้วซึ่งผู้คัดค้านจะยื่นคำคัดค้านในชั้นอนุญาโตตุลาการหรือไม่ก็ได้ไม่มีกฎหมายบังคับ และการที่อนุญาโตตุลาการไต่สวนพยานก่อนที่ผู้คัดค้านจะยื่นคำคัดค้านก็ไม่มีกฎหมายห้ามทั้งผู้คัดค้านก็ได้แถลงไม่คัดค้านการไต่สวนพยานดังกล่าวไว้แล้ว เมื่ออุทธรณ์ของผู้คัดค้านไม่ได้ความว่า อนุญาโตตุลาการกระทำการโดยไม่สุจริต อุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งหมดจึงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาตรา 26
ส่วนที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า เมื่อผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไว้พิจารณาแล้วศาลอุทธรณ์ควรจะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านในข้อที่ว่าอนุญาโตตุลาการกระทำการโดยไม่สุจริตด้วยนั้นเห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไว้พิจารณาแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตรวจสำนวนความแล้ว เห็นว่าคดีของผู้คัดค้านต้องห้ามตามกฎหมายศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกอุทธรณ์นั้นเสียโดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็น แห่งอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1) ฎีกาผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับนั้น ยังไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน เว้นแต่ค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้คืนแก่ผู้คัดค้านทั้งหมด สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ