แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยหยิบสิ่งของผิดกฎหมายออกมาจากกระเป๋ากางเกงของจำเลยโดยที่ตนไม่ตรวจค้นเสียเอง นับเป็นการกระทำที่รอบคอบ อันเป็นการป้องกันข้อกล่าวหาเรื่องเจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้งผู้ถูกจับอันอาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งสิ่งของผิดกฎหมายดังกล่าวจำเลยก็ไม่จำต้องขว้างทิ้งหรือทำลายเสียก่อนถูกจับเสมอไปเพราะเป็นเหตุผลส่วนตัวของผู้กระทำความผิดแต่ละรายซึ่งไม่เหมือนกัน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงไม่เป็นพิรุธแก่ คดีโจทก์ บันทึกการจับกุมเป็นเอกสารราชการซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจเป็นผู้จัดทำขึ้นไม่มีบทบัญญัติหรือกฎข้อบังคับใดกำหนดให้ผู้ต้องหาลงชื่อกำกับในกรณีมีการตกเติมข้อความในบันทึกดังกล่าว ประกอบกับพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ อันถือเสมือนว่าเป็นพยานคนกลาง จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยในพฤติการณ์ว่าจะบิดเบือนความจริงหรือดำเนินการในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6 (7 ทวิ), 62,63, 106, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 8 ปีคำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือนริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่โจทก์จำเลยนำสืบไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายดาบตำรวจสมยศกับพวกได้ตรวจค้นบ้านจำเลยและค้นได้เมทแอมเฟตามีนกับเฮโรอีนของกลาง มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ที่จำเลยฎีกาว่าคำเบิกความของนายดาบตำรวจสมยศ พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยที่ว่าพยานสังเกตเห็นกระเป๋ากางเกงข้างขวาที่จำเลยสวมมีลักษณะตุงออกมา พยานจึงให้จำเลยหยิบสิ่งของออกมาจากกระเป๋ากางเกงดังกล่าว เมื่อจำเลยหยิบออกมา ปรากฏว่าเป็นเมทแอมเฟตามีนกับเฮโรอีนของกลาง พฤติการณ์ช่วงนี้ จำเลยอ้างว่าเป็นพิรุธน่าสงสัยเนื่องจากจำเลยเป็นผู้ชาย เจ้าพนักงานตำรวจย่อมตรวจค้นร่างกายจำเลยด้วยตนเองได้อยู่แล้ว ไฉน จึงต้องให้จำเลยเพียงแค่ ราษฎรธรรมดาจะหยิบสิ่งของผิดกฎหมายออกมาจากตนเองเพื่อให้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม ซึ่งถ้าจำเลยมีสิ่งของผิดกฎหมายอยู่ในตัวเองจริงดังที่นายดาบตำรวจสมยศอ้าง จำเลยก็น่าจะขว้างทิ้งหรือทำลายเสียเพื่อไม่ให้ตนเองต้องถูกดำเนินคดีศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ที่นายดาบตำรวจสมยศให้จำเลยหยิบสิ่งของผิดกฎหมายออกมาจากกระเป๋ากางเกงของจำเลยโดยที่ตนไม่ตรวจค้นเสียเอง นับเป็นการกระทำที่รอบคอบอันเป็นการป้องกันข้อกล่าวหาเรื่องเจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้งผู้ถูกจับอันอาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งสิ่งของผิดกฎหมายดังกล่าว จำเลยก็ไม่จำต้องขว้างทิ้งหรือทำลายเสียก่อนถูกจับเสมอไปเพราะเป็นเหตุผลส่วนตัวของผู้กระทำความผิดแต่ละรายซึ่งไม่เหมือนกัน พฤติการณ์ดังกล่าวไม่เป็นพิรุธแก่คดีโจทก์ ส่วนที่จำเลยฎีกาเรื่องบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นแบบฟอร์มพิมพ์ไว้แล้ว ซึ่งผู้ต้องหาหรือจำเลยจะให้การอย่างใดก็ให้เติมข้อความใส่เอาเอง ซึ่งจำเลยอ้างว่าบันทึกการจับกุมดังกล่าวมีการตกเติมข้อความโดยเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมน่าที่จะให้จำเลยลงชื่อกำกับไว้ แต่ก็ไม่ปรากฏเช่นนั้นจึงน่าสงสัยอยู่ว่าจำเลยให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธโดยเฉพาะจำเลยได้ลงชื่อในเอกสารดังกล่าวเพราะเจ้าพนักงานตำรวจขู่ว่าหากจำเลยไม่ลงชื่อจะจับบุตรและภรรยาของจำเลยไปด้วยศาลฎีกาเห็นว่าบันทึกการจับกุมเป็นเอกสารราชการซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจเป็นผู้จัดทำขึ้น ไม่มีบทบัญญัติหรือกฎข้อบังคับใดกำหนดให้ผู้ต้องหาลงชื่อกำกับในกรณีมีการตกเติมข้อความในบันทึกดังกล่าวประกอบกับพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่อันถือเสมือนว่าเป็นพยานคนกลางจึงไม่มีข้อระแวงสงสัยในพฤติการณ์ว่าจะบิดเบือนความจริงหรือดำเนินการในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยไม่พอหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน