คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5080/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยพูดให้ ก. ฟังว่า โจทก์ไม่สนใจทำงาน ทำงานไม่มีความรับผิดชอบทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ทางราชการ ถ้า ก.อยากจะรับราชการต่อไป อย่าทำตัวเหมือนโจทก์ ดังนี้อาจทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้จึงมีมูลในความผิดฐานหมิ่นประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกล่าวคำหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ต่อหน้านายกิตติพงษ์ สงวนวงษ์ และผู้อื่น ด้วยถ้อยคำต่าง ๆ มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ฯลฯ คุณธัญญา (โจทก์) ไม่สนใจทำงาน ทำงานไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ชอบทำงานฝืนระเบียบก่อให้เกิดการเสียหายแก่ราชการ ถ้าคุณกิตติพงษ์ สงวนวงษ์ อยากจะรับราชการต่อไป อย่าทำตัวเหมือนคุณธัญญา (โจทก์)” โดยมีเจตนาให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังจากเพื่อนข้าราชการ ผู้บังคับบัญชา และประชาชนทั่วไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้องคู่ความจะอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 ที่แก้ไขแล้ว ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาว่า จำเลยรับราชการตำแหน่งวิศวกรโยธา 6 สังกัดในหน่วยแห่งเดียวกับโจทก์ และมิได้เป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ และโจทก์มีนายกิตติพงษ์ สงวนวงษ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่สามที่ได้ยินจำเลยกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์ตามฟ้องมาเบิกความว่า เมื่อวันที่8 พฤษภาคม 2529 ระหว่างเวลา 10 ถึง 11 นาฬิกา จำเลยได้พูดให้นายกิตติพงษ์ ฟังว่า โจทก์ไม่สนใจทำงาน ทำงานไม่มีความรับผิดชอบทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ทางราชการ ถ้านายกิตติพงษ์อยากจะรับราชการต่อไป อย่าทำตัวเหมือนโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าจำเลยได้กล่าวข้อความดังกล่าวจริง ก็อาจทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ ควรฟังข้อเท็จจริงต่อไปคดีโจทก์มีมูล ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้องโจทก์

Share