คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลย ศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้วเป็นผลว่าให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนขายที่พิพาทให้โจทก์ 2 งาน โดยวัดจากหลักหมายเลขที่ 12021 ไปหาหลักเลขที่ 08080 โดยให้เป็นรูปที่ดินตามเส้นแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ถ้าหากจำเลยไม่ปฏิบัติการโอนให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยนี้ด้วย ถ้าจำเลยไม่สามารถขายที่ดินรายนี้ให้โจทก์ได้ตามที่กล่าวแล้ว ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนเงินมัดจำ 5,000 บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 10,000 บาทดังนี้ ในการบังคับคดีย่อมเป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นที่จะต้องดูว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะปฏิบัติการโอนขายที่พิพาทให้โจทก์2 งานดังกล่าวแล้วได้โดยชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ และจะถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยได้หรือไม่เมื่อไม่มีทางปฏิบัติตามที่กล่าวนั้นได้แล้วจึงจะบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 5,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 10,000 บาท
กรณีดังกล่าวข้างต้น ในชั้นแรกข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า จำเลยไม่อาจปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับโดยวิธีแรกนั้นได้ โจทก์ขอให้บังคับการโอนเป็นอย่างอื่นศาลชั้นต้นจึงสั่งบังคับให้เป็นไปโดยวิธีที่สอง คือให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมทั้งดอกเบี้ยและชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นขึ้นมาและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืนตามนั้นก็ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็เป็นคำวินิจฉัยในเรื่องคำสั่งบังคับคดีของศาลชั้นต้นนั้นเองเป็นการวินิจฉัยในกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล จึงต้องด้วยข้อยกเว้นให้รื้อร้องกันอีกได้ตามมาตรา 148(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับดังกล่าวนั้น คือ ยังมิได้คืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ถ้ามีข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏต่อศาลว่าศาลอาจดำเนินการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาโดยวิธีแรกอันเป็นคำบังคับตามคำขอที่เป็นประธานในคดีนี้ได้อยู่โจทก์ก็มีสิทธิที่จะขอคำบังคับศาลให้ดำเนินการไปตามความจริงตามคำพิพากษาได้อีก

ย่อยาว

เดิม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จัดการขอแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 4760 และจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ 2 งานวัดจากหลักหมายเลข 12021 ไปหาหลักที่ 08080 โดยให้เป็นรูปที่ดินตามเส้นแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ถ้าจำเลยไม่สามารถขายที่ดินรายนี้ให้โจทก์ได้ตามที่กล่าวนี้แล้ว ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 คืนเงินมัดจำ 5,000 บาทให้แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 10,000 บาทด้วย โจทก์จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแต่ให้เติมลงในคำพิพากษาด้วยว่า หากจำเลยไม่ปฏิบัติการโอนให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยนี้ด้วย โจทก์จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นได้มีหนังสือแจ้งผลคำพิพากษาไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนคร โจทก์ยื่นคำร้องว่า ในวันรังวัดโจทก์ได้ไปดูแนวเขตและทราบจากเจ้าพนักงานผู้รังวัดว่า ถ้าแบ่งแยกตามคำสั่งศาล เนื้อที่ 200 ตารางวาที่จะแบ่งให้โจทก์นั้นจะต้องรวมเนื้อที่ที่ถูกตัดเป็นถนนเข้าไปด้วย ซึ่งจะเป็นผลให้โจทก์ได้รับโอนที่ดินไม่เต็มเนื้อที่ 200 ตารางวา ตามคำพิพากษาฝ่ายจำเลยยอมอุทิศที่ดินของจำเลยให้เป็นถนน และเมื่อจำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอแบ่งที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จังหวัดพระนครยังได้ยื่นคำขอแบ่งว่า แปลงที่ 1 แบ่งขายให้กับผู้มีชื่อ (โจทก์) แปลงที่ 2 แบ่งให้เป็นถนน จึงขอให้ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ 2 งานโดยมิได้รวมที่ดินที่ถูกตัดถนนนั้นเข้าด้วยศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์จำเลยแล้วมีคำสั่งว่า ให้บังคับคดีโจทก์ไปตามข้อแม้ในคำพิพากษาของศาลในกรณีที่จำเลยไม่สามารถขายที่ดินรายนี้ให้โจทก์ได้ กล่าวคือ ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 5,000 บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ กับให้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 10,000 บาทด้วย ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน

โจทก์ยื่นคำร้องอีกว่า บัดนี้ ข้อเท็จจริงได้เปลี่ยนแปลงไปโดยปรากฏว่า เจ้าหน้าที่เทศบาลนครกรุงเทพ ได้ชี้เขตถนนตามเส้นประสีดำในแผนที่ที่เจ้าพนักงานรังวัดทำส่งศาลนั้นให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำการรังวัดแสดงแนวเขตถนนเข้าไปในที่พิพาทผิดไปจากเขตถนนทำให้โจทก์เข้าใจผิดไป เมื่อที่ดินที่จำเลยจะต้องแบ่งขายให้โจทก์ยังมีอยู่และหากจะถูกถนนเฉียดกินเนื้อที่ไปบ้างก็เป็นส่วนน้อยเหลือเกิน ซึ่งโจทก์ยังยินดีจะซื้อส่วนที่เหลืออยู่แม้จะเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใดก็ตาม ขอให้ศาลไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งใหม่ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินที่โอนให้โจทก์ตามคำพิพากษาต่อไป

จำเลยแถลงคัดค้านว่า การที่เจ้าหน้าที่รังวัดก็ดี เทศบาลก็ดีดำเนินการชี้ขาดตามพระราชบัญญัติ หากจะมีผิดพลาด ก็เป็นที่ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาไปแล้ว จะผิดถูกอย่างไรต้องถือว่ายุติ จะรื้อขึ้นพิจารณาว่าพยานเบิกความผิด หรือข้อเท็จจริงที่ฟังมาผิดไปอีกไม่ได้

ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์จำเลยแล้ว สั่งให้งดการไต่สวน แล้วมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับของศาลในประการที่ให้จำเลยทั้ง 2 ขอแบ่งแยกโฉนดรายพิพาทและจดทะเบียนขายให้โจทก์เนื้อที่ 2 งาน วัดจากหลักหมายเลขที่ 12021 ไปหาหลักที่ 08080 โดยให้เป็นรูปเส้นแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ทั้งนี้ให้หมายความว่า ที่ดิน 2 งานนั้น เมื่อหักที่ดินที่ถูกตัดถนนเสียแล้วยังเหลือเท่าใดก็ให้โอนให้โจทก์ไปเท่านั้นตามที่โจทก์แถลงไว้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองนี้ด้วย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่า ศาลชั้นต้นสั่งมาชอบแล้ว พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ ศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้วในการบังคับคดีจึงเป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นที่จะต้องดูว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะปฏิบัติการโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ 2 งานตามคำพิพากษาได้โดยชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ เมื่อไม่มีทางปฏิบัติการตามที่กล่าวนั้นได้แล้ว จึงจะบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 5,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 10,000 บาท ในชั้นแรกข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับโดยวิธีแรกนั้น โจทก์ขอให้บังคับการโอนเป็นอย่างอื่น ศาลชั้นต้นจึงสั่งบังคับให้เป็นไปโดยวิธีที่สอง คือ ให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมทั้งดอกเบี้ยและชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืนตามนั้นก็ตาม คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็เป็นคำวินิจฉัยในเรื่องคำสั่งบังคับคดีของศาลชั้นต้นนั้น เป็นการวินิจฉัยในกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งต้องด้วยข้อยกเว้นให้รื้อร้องกันอีกได้ตามมาตรา 148(1) และในกรณีนี้ จำเลยก็ยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับดังกล่าวนั้น คือ ยังมิได้คืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหายแก่โจทก์แต่ประการใด การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นถึงที่สุด บัดนี้การณ์ปรากฏขึ้นตามคำเสนอของโจทก์ต่อศาลว่า ศาลอาจดำเนินการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาโดยวิธีแรกอันเป็นคำบังคับตามคำขอที่เป็นประธานในคดีนี้ได้อยู่ กล่าวคือ การณ์ปรากฏขึ้นว่าที่พิพาทถูกตัดถนนไปเป็นส่วนมากนั้นเป็นเพราะผู้แทนเทศบาลนครกรุงเทพ ได้กันเขตถนนพระโขนงคลองเตยเข้าไปในที่พิพาทเป็นเนื้อที่มากกว่า 63 ตารางวาตามบัญญัติที่ดินท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 เป็นเนื้อที่ประมาณ 224 ตารางวา ทั้งนี้ เป็นการกระทำของบุคคลภายนอกเป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อไปตามนั้น เมื่อได้มีการทำถนนเต็มตามรูปบริบูรณ์แล้ว โจทก์จึงได้ทราบความจริงว่า วิธีการบังคับตามวิธีแรกตามคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดนั้นยังดำเนินการบังคับคดีได้อยู่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีสิทธิที่จะขอคำบังคับศาลให้ดำเนินการไปตามความจริงตามคำพิพากษาได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมทั้งดอกเบี้ยและชำระค่าเสียหายให้โจทก์หมื่นบาทเป็นอันถึงที่สุดไปแล้ว จะรื้อร้องฟ้องอีกไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฟังไม่ขึ้น เพราะคำวินิจฉัยของศาลสูงนั้นเป็นกรณีวินิจฉัยคำสั่งศาลชั้นต้นในการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีของศาลเท่านั้น ต้องด้วยข้อยกเว้นของมาตรา 148 ดังได้วินิจฉัยแล้ว พิพากษายืน

Share