แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตรวจจับจำเลยได้พร้อมกับยึดเข่งไม้ไผ่บรรจุกัญชา เป็นของกลางโดยกัญชามีลักษณะเป็นพืชแห้งอัดเป็นแท่งรวม 3 แท่ง และบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่อีก 5 ถุง การที่จำเลยนำกัญชา ทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมในเข่งใบเดียวกันและนำมะพร้าววางทับไว้ ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์ เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียง เพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่ เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่ถือว่า เป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49, 91 ริบกัญชาและรถจักรยานยนต์ของกลาง และสั่งห้ามจำเลยเสพยาเสพติดให้โทษทุกประเภทภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ปฏิเสธข้อหาผลิตกัญชาและจำหน่ายกัญชา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 75 (ที่ถูกมาตรา 75 วรรคหนึ่ง)จำคุก 4 ปี และมาตรา 76 วรรคสอง จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมเป็นจำคุก 6 ปีริบกัญชาและรถจักรยานยนต์ของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้ห้ามจำเลยเสพยาเสพติดให้โทษทุกประเภทภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 49 นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 98 ได้บัญญัติวิธีการบำบัดรักษาไว้แล้วจึงไม่สมควรที่จะสั่งห้ามอีก ให้ยกคำขอส่วนนี้
โจทก์อุทธรณ์ขอให้นำวิธีการเพื่อปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49 มาใช้บังคับแก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดข้อหาผลิตกัญชา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 ด้วยและให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดข้อหาผลิตกัญชาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา75 วรรคหนึ่ง คงให้จำคุกจำเลย 2 ปี สำหรับความผิดข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 76 วรรคสอง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงข้อหาเดียว นอกจากนี้ให้แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่าในเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยกัญชาแห้งน้ำหนักรวม 6.51 กิโลกรัมกับรถจักรยานยนต์ 1 คัน ซึ่งจำเลยใช้เป็นยานพาหนะในการขนส่งกัญชาเป็นของกลาง และฟังเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาแล้วว่าจำเลยได้กระทำความผิดข้อหามีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง ส่วนความผิดข้อหาจำหน่ายกัญชาศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยและมีคำพิพากษาในข้อหานี้ทั้งที่โจทก์ก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้ง จึงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยไม่มีความผิดข้อหาจำหน่ายกัญชาตามที่โจทก์ฟ้อง
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีเพียงว่า จำเลยกระทำความผิดข้อหาผลิตกัญชาตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยไม่มีข้อโต้แย้งกันแล้วว่า ขณะเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมกับยึดเข่งไม้ไผ่บรรจุกัญชาเป็นของกลาง โดยกัญชาของกลางนั้นมีลักษณะเป็นพืชแห้งอัดเป็นแท่งรวม3 แท่ง และบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่อีก 5 ถุง ตามภาพถ่ายหมาย ป.จ.1 (ศาลจังหวัดทุ่งสง) เห็นว่า ตามข้อนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานมายืนยันว่าจำเลยเป็นคนอัดกัญชาให้เป็นแท่งหรือนำกัญชาแบ่งบรรจุใส่ถุงพลาสติกดังกล่าวประกอบกับได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 ว่า จำเลยเพียงแต่รับจ้างนางผ่องนำเอากัญชาของกลางไปมอบให้แก่ลูกค้าของนางผ่องเท่านั้น คดีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผลิตกัญชาโดยวิธีการแบ่งกัญชาบรรจุตามความหมายของบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ผลิต” ดังที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4 บัญญัติไว้ ส่วนข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้นำกัญชาของกลางทั้งหมดใส่ในเข่งไม้ไผ่นั้น เห็นได้ว่า ที่จำเลยนำกัญชาทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมในเข่งใบเดียวกันแล้วนำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบแก่สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้นมิใช่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่า เป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุตามที่โจทก์ฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องความผิดข้อหาผลิตกัญชาชอบแล้ว”
พิพากษายืน